วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

นิราศ@โรแมนติก: กลรักลวงไปคาร์โลวี่ วารี่

เคยพาไปทัศนาสถานที่ท่องเที่ยวแสนโรแมนติกที่ปรากฏในหนังฝรั่งและเกาหลีมาแล้ว คราวนี้ขอเป็นคิวของละครไทยของเราบ้าง (เดี๋ยวจะหาว่าเห่อแต่ของนอก)


มีละครช่องสามที่เรทติ้งดีเรื่องหนึ่งถ่ายทำที่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ออกอากาศเมื่อปลายปี 2011 ถ้าเป็นแฟนละครตัวจริงคงจดจำกันได้ ผมกำลังพูดถึงละครเรื่อง กลรักลวงใจ ที่นำแสดงโดยเคน ธีรเดช และนางเอกที่โด่งดัง(ในตอนนี้) เจนนี่ (เทียนโพธิ์สุวรรณ) อัศวเหม

ในบทละครพระเอกมีอาชีพเป็นผู้ช่วยฑูตอยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐเช็ก โลเกชั่นส่วนใหญ่ถ่ายทำที่เมืองปรากซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่ถ้าจะไปลัดเลาะเส้นทางกรุงปรากมันก็คงธรรมดาเกินไป จึงขอเลือกพาไปตามรอยฉากขอแต่งงานซึ่งจัดว่าเป็นไฮไลท์ฉากหนึ่ง ฉากนี้มาถ่ายทำกันที่เมืองชื่อว่าคาร์โลวี่ วารี่ (Karlovy Vary)


Karlovy Vary (ภาษาเยอรมัน: Karlsbad, ภาษาอังกฤษ: Carlsbad) อยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงปราก (ใกล้พรมแดนติดกับประเทศเยอรมัน) ได้รับการยกย่องเป็นเมืองแห่งสปาเพราะมีแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติขนาดใหญ่ถึงสิบสองแห่ง ในอดีตขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพักผ่อนยอดนิยมสำหรับกษัตริย์ยุโรป


ผมเดินทางไปเที่ยว Karlovy Vary ภายในเวลาหนึ่งวันจากปราก ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเมืองเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงทำให้บรรยากาศในเมืองเต็มเปี่ยมไปด้วยสีสัน ตัวอาคารบ้านเรือนทรงคลาสสิกหลากสีระบายเติมแต้มด้วยสีส้มแดงจากต้นไม้ ดูสวยงามเหมือนภาพวาดสีสด เสียดายที่วันที่ไปแดดหุบแสงไม่ค่อยดีเท่าไหร่


ใจกลางเมืองจะมีแม่น้ำสายเล็กๆไหลผ่าน เสริมบรรยากาศชวนฝันจริงๆ


มีมุมเล็กมุมน้อยแต่สวยมากมายให้แวะเวียนถ่ายรูปได้ไม่รู้เบื่อ


สูตรสำเร็จเมืองโรแมนติกของยุโรปต้องมีรถม้าให้นั่งชมเมือง


สะพานที่เห็นไกลๆข้างหน้าคือจุดที่ใช้ถ่ายฉากขอแต่งงานของละครกลรักลวงใจ


การเยี่ยมชมแหล่งน้ำพุร้อนต่างๆในตัวเมืองจะต้องมองหาอาคารที่ชื่อมีคำว่า Colonnade ซึ่งปลูกสร้างขึ้นมาครอบแหล่งน้ำพุร้อนไว้ สถานที่สำคัญๆก็มี Mill Colonnade แค่ที่นี่ที่เดียวมีแหล่งน้ำพุร้อนถึงห้าแห่ง


อีกอาคารก็คือ Market Colonnade (สีขาวมีลายฉลุ) ที่นี่มีอีกสองแหล่งน้ำพุร้อน


ด้านบนของ Market Colonnade มีอีกแหล่งน้ำพุร้อนเรียกว่า Castle Colonnade


ระเบียงริมสวนนี่เรียกว่า Park Colonnade มีสามแหล่งน้ำพุร้อน


อีกแหล่งหนึ่งที่เหลือเป็นน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นจากพื้น (Hot Spring Colonnade)


ในแต่ละ Colonnade จะมีแท่นสูบน้ำพุร้อนจากใต้ดินขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสหรือดื่มได้ น้ำพุร้อนก็คือน้ำแร่ธรรมชาติที่มีอุณหภูมิสูงจึงใช้ดื่มได้


ของที่ระลึกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองคือแก้วเซรามิคใช้รองดื่มน้ำพุร้อน


นักท่องเที่ยวนิยมเอาแก้วนี้ไปรองน้ำจากแท่น วิธีดื่มให้จ่อปากดื่มจากปลายจะงอยแก้ว (รูปร่างเหมือนหูแก้ว) โบราณว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ผมเลยซื้อแก้วมาลองทำตามแนะนำแต่จิบได้นิดเดียวก็เลิกเพราะรสชาติเหมือนดื่มน้ำผสมยันต์กระดาษเผา (กลิ่นกำมะถันอบอวล)


ขนมขึ้นชื่อของเมืองเรียกว่า lázeňské oplatky (ไม่รู้ว่าออกเสียงยังไง) หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆว่า spa wafer เป็นเวเฟอร์แผ่นกลมๆบางกรอบ ปัจจุบันทำออกมาหลายสิบรสให้เลือก เค้าโปรโมทว่าให้ซื้อแบบทำใหม่ร้อนๆไปกินแกล้มกับน้ำพุร้อน (อันนี้ไม่ได้ลอง)


Karlovy Vary อาจไม่ใช่เมืองใหญ่แต่มีเสน่ห์โดนใจล้นเหลือ ทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาเพียงหนึ่งวันที่นี่ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว และตั้งใจจะหาโอกาสกลับมาอีกครั้ง 


การเดินทางไปเมือง Karlovy Vary
นั่งรถไฟจากปรากไปใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงครึ่ง และจากสถานีรถไฟเมือง Karlovy Vary ซึ่งอยู่บนเนินนั่งรถเมล์ต่อลงไปย่านใจกลางเมือง


เว็บไซด์การท่องเที่ยวของเมือง Karlovy Vary








วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

โจวจวง: เวนิสตะวันออกแห่งเจียงหนาน

เสน่ห์มนตราของเมืองเวนิสประเทศอิตาลีทำให้เมืองริมแม่น้ำลำคลองในเอเชียที่มีบรรยากาศคล้ายๆกันจะถูกขนานนามเปรียบเทียบว่าเป็นเวนิสตะวันออก ถ้าลองไปเสิร์ซเมืองในเอเชียที่เรียกว่าเวนิสตะวันออกจากวิกิพีเดียจะได้ลิสต์ยาวออกเป็นหางว่าว แม้แต่กรุงเทพฯของเราก็ยังอยู่ในลิสต์ด้วยเลย

แต่ถ้าจะให้เลือกเมืองเวนิสตะวันออกที่โดดเด่นในแวดวงท่องเที่ยวมายาวนาน ผมไม่รีรอที่จะจิ้มนิ้วไปที่หมู่บ้านโจวจวง (Zhouzhuang, 周庄) มณฑลเจียงซู ประเทศจีนทันที


โจวจวงเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีคลองเล็กคลองน้อยหลายสายไหลตัดผ่านทั่วหมู่บ้าน ได้รับฉายาว่า "ยอดหมู่บ้านกลางน้ำแห่งเจียงหนาน (江南第一水)"


วิวสุดคลาสสิกของหมู่บ้านริมน้ำก็คือภาพสะพานหินโค้งข้ามคลองมีเรือลอดข้างใต้


ตัวบ้านเรือนเก่าๆกำแพงขาวหลังคาดำริมคลองให้บรรยากาศเหมือนย้อนไปในยุคสมัยโบราณ


จุดทัศนียภาพอันดับหนึ่งของเมืองก็คือสะพานคู่ (Shuang Qiao, ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีสะพานสองสะพานเชื่อมต่อกันทอดข้ามหัวโค้งคลอง แต่เอาเข้าจริงไม่สามารถหาจุดถ่ายรูปให้เห็นทั้งสองสะพานได้ชัดๆ


ที่นี่มีบริการล่องเรือชมทัศนียภาพริมคลองเหมือนกับเวนิสเปี๊ยบ แต่ขอประทานโทษ...หน้าตาเรือแจวโจวจวงดูโบราณงานสร้างกว่ากอนโดล่าเยอะ


และที่ไม่ยอมน้อยหน้าจริงๆ ก็คืออาซิ้มแจวเรือไปร้องเพลง(จีน)ขับกล่อมผู้โดยสารไปด้วย


กิจกรรมล่องเรือกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ลัดเลาะไปตามลำคลองลอดโค้งสะพานแล้วสะพานเล่า


การเดินชมหมู่บ้านทางเท้าก็มีจุดที่ให้แวะได้ เช่น บ้านเจ้าสัวเสิ่น (沈厅) ที่เคยเป็นที่พำนักของคหบดีชื่อดังเสิ่นว่านซาน


โรงมหรสพที่จัดแสดงโชว์วัฒนธรรม (ตอนไปถึงไม่มีรอบแสดง)


โรงภาพยนตร์แบบโบราณ รอบนึงดูได้ทีละคนสองคน


ในเมืองยังมีร้านขายของแนวๆตามตรอกซอกซอยให้นักท่องเที่ยวซอกซอนตะลอนทัวร์ได้


อาหารขึ้นหน้าขึ้นตาของโจวจวงไม่ใช่ก๊วยเตี๋ยวเรือแต่เป็น ขาหมูว่านซาน (万三蹄) สามารถลิ้มลองได้ตามร้านอาหารในเมืองหรือจะซื้อแบบแพ็คสำเร็จรูปกลับไปเป็นของฝากก็ได้


การเดินทางไปโจวจวงจากเซี่ยงไฮ้
ผมจับรถทัวร์ทัศนาจรจากท่ารถที่ Shanghai Stadium ออกประมาณเก้าโมงเช้าใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งถึงเมืองโจวจวง ค่าตั๋วรถบัสจะรวมค่าเข้าชมเมืองด้วย จริงๆแล้วรถเค้ามีไกด์นำทัวร์เมืองโจวจวงเป็นภาษาจีน แต่ผมคิดว่าคงไม่ได้ช่วยอะไรที่จะไปเดินตามกรุ๊ปต้อยๆแต่ฟังไม่เข้าใจ จึงขอแยกตัวไปสำรวจเมืองด้วยตนเอง ซึ่งเค้าก็จะนัดให้กลับมาเจอกันที่จุดขึ้นรถกลับ โดยจะให้เวลาเที่ยวรวมประมาณ 5-6 ชั่วโมง


เว็บไซด์ข้อมูลท่องเที่ยวเมืองโจวจวง

หมายเหตุ: คำว่าเจียงหนานหรือออกเสียงเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วว่ากังหนำเป็นดินแดนบริเวณภาคตะวันออกของประเทศจีนที่อยู่ทางใต้แม่น้ำแยงซีเกียงครอบคลุมมณฑลเจ้อเจียง เจียงซู และอันหุย







วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

Postcard from Alaska: Ketchikan เมืองหลวงแห่งปลาซัลม่อน




และแล้วก็มาถึงอะลาสก้า......

หลังจากแล่นออกจากท่าเรือที่แวนคูเว่อร์ วันที่สามของการเดินทางบนเรือรัศมีแสงแห่งทะเล (Radiance of the Sea) ก็มาถึงเมืองแรกของอะลาสก้า นั่นคือเมือง Ketchikan (เค็ทชิแคน)


ถ้าดูจากแผนที่ รูปร่างของรัฐอะลาสก้าจะคล้ายกะทะแบบมีด้าม การล่องเรือเที่ยวอะลาสก้าจะเข้ามาทางด้ามกะทะทางตอนใต้ ซึ่งเมือง Ketchikan อยู่ที่ปลายล่างของด้ามกะทะ


เมือง Ketchikan เปี่ยมไปด้วยสมญานามมากมาย ได้แก่ เมืองหน้าด่านประตูสู่อะลาสก้า (เป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ล่างสุดของรัฐ) เมืองหลวงแห่งปลาซัลม่อน (ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่จับปลาซัลม่อนได้เยอะสุด) เมืองหลวงแห่งสายฝน


เรือจอดเทียบท่า Ketchikan เวลาหกโมงเช้า ก่อนเข้านอนในคืนที่สองกัปตันเรือประกาศให้ผู้โดยสารปรับเวลาให้ช้าลงหนึ่งชั่วโมงตาม time zone ของอะลาสก้าเทียบกับแคนาดา

ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เหยียบแผ่นดินอะลาสก้า ผมรีบตื่นนอนเร่งจัดการอาหารเช้าเพื่อลงจากเรือไปสำรวจเมืองด้วยตนเองก่อนที่จะกลับมาร่วมแลนด์ทัวร์ในช่วงสายๆ เป้าหมายหลักของการสำรวจเมืองก็คือย่านดาวน์ทาวน์ ตามแผนที่ที่ได้รับแจกบนเรือย่านดาวน์ทาวน์น่าจะอยู่เบื้องหน้าท่าเทียบเรือเลย


แต่พอลงจากเรือก็ต้องหันรีหันขวางเพราะหน้าตาถนนไม่เหมือนกับแผนที่ ถามไถ่จากคนละแวกนั้นจึงทราบว่าย่านดาวน์ทาวน์ต้องเดินไปอีก 10-15 นาทีเนื่องจากเรือผมจอดที่ตำแหน่งปลายๆท่า

ที่ย่านดาวน์ทาวน์ ใครไปใครมาเมือง Ketchikan ต้องไม่พลาดแชะรูปกับป้ายต้อนรับนี้


ตึกสีสันสดใสในเมือง ถ้าไม่ใช่ร้านค้าก็ร้านอาหาร


หนึ่งในจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของตัวเมือง Ketchikan ก็คือถนน Creek Street ซึ่งในอดีตเป็นย่านโคมแดงของเมือง


บ้านเรือนในถนนนี้เดิมทีเป็นบ้านของหญิงขายบริการ


ถึงแม้ปัจจุบันไม่ได้เป็นแหล่งอย่างว่าแล้ว ตัวบ้านเรือนภายนอกยังคงได้รับการอนุรักษ์ให้เหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นร้านขายของที่ระลึกร้านอาหารแทน


ที่เรียกว่า Creek Street เนื่องจากเป็นถนนทางเดินยาวประมาณ 100-200 เมตรเลียบลำธารสายเล็กๆ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า creek)


แลนด์มาร์คสำคัญของถนนก็คือบ้านสีเขียวอ่อนที่ชื่อว่า Dolly’s House


ในอดีตเป็นบ้านคุณตัวที่โด่งดังที่สุดของย่านและอยู่ในอาชีพยาวนานที่สุด ปัจจุบันบ้านถูกแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์


เนื่องจากผมไปถึงแต่เช้าพิพิธภัณฑ์และร้านรวงต่างๆยังไม่เปิด


เดินเก็บรูปประมาณชั่วโมงนึง ก็ได้เวลาจ้ำอ้าวกลับเรือเพื่อร่วมแลนด์ทัวร์ล่องเรือชม Misty Fjords อยากรู้ว่าเป็นยังไง โปรดติดตามตอนต่อไป







About