วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

Great Barrier Reef: Cairns


ถ้ากล่าวถึงภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือนให้ได้ซักครั้งในชีวิตก็มีแนวปะการัง Great Barrier Reef ประเทศออสเตรเลียติดอันดับหนึ่งในสามแน่นอน จำได้ว่าตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์โลก อาจารย์มักจะพูดถึงชื่อนี้บ่อยๆในฐานะแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกล่าวได้ว่าเป็นชื่อที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก


แนวปะการัง Great Barrier Reef มีความยาวถึง 2,300 กิโลเมตร (ยาวกว่าประเทศไทยจากเหนือจรดใต้อีก) ครอบคลุมพื้นที่หลายๆเมืองในรัฐ Queensland ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย แต่ส่วนใหญ่คนที่จะไปเที่ยว Great Barrier Reef มักจะเลือกพำนักที่เมืองแคร์นส์ (Cairns)


หนึ่งในโปรแกรมทัวร์ Great Barrier Reef ยอดนิยมที่เดินทางจากเมือง Cairns ก็คือการไปเที่ยวเกาะ Green Island ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่บนแนวปะการัง


เกาะ Green Island อยู่ห่างจาก Cairns ประมาณ 30 กิโลเมตร ทัวร์จะพานักท่องเที่ยวไปที่เกาะด้วยเรือเร็ว Catamaran ใช้เวลาประมาณ 45 นาที


คนไป Great Barrier Reef ก็ย่อมต้องการชมความสวยงามของปะการังใต้ทะเล ถ้าเอาเรือไปส่งที่เกาะอย่างเดียวก็คงไม่ตอบโจทย์ ในแพ็คเกจของทัวร์จึงมีออพชั่นโดยไม่ต้องเสียตังค์เพิ่มให้เลือกระหว่างทริปล่องเรือท้องกระจกที่แล่นชมปะการังรอบๆเกาะ หรือจะยืมอุปกรณ์ดำน้ำ snorkel สำรวจท้องทะเลด้วยตาตนเอง แต่ถ้าใครอยากแอดวานซ์ดำแบบ scuba ที่เกาะก็มีให้เช่าอุปกรณ์แต่ต้องจ่ายตังค์เอง



ผมไม่จัดเจนในเรื่องการดำน้ำไม่ว่าแบบไหนๆ จึงใช้บริการเรือท้องกระจกเพียงอย่างเดียว ทริปกินเวลาสามสิบนาที



ภาพปะการังที่ถ่ายผ่านกระจกท้องเรือ (ไอ้เส้นขาวๆขีดๆเป็นแสงสะท้อนไฟนีออนบนหลังคาเรือ)






ชีวิตสัตว์น้ำในแนวปะการัง



ถ้าล่องเรือท้องกระจกแล้ว ใครยังไม่จุใจ อยากชมปะการังแบบตัวไม่เปียกมากกว่านี้ ขอแนะนำให้จ่ายตังค์เลือกซื้อออพชั่นเสริมเพื่อชมปะการังด้วยเรือกึ่งดำน้ำ (Semi-submarine)


เจ้าเรือกึ่งดำน้ำนี้จะเป็นเรือที่มีดาดฟ้าเรือโผล่เหนือผิวน้ำแต่ตัวเรือจมลงไปใต้น้ำ ซึ่งท้องเรือใช้เป็นห้องชมวิวใต้ทะเล

บรรยากาศภายในท้องเรือชมวิวเป็นที่นั่งแคบๆนั่งได้แถวละสองคน จะมีไกด์คอยบรรยายความรู้เกี่ยวกับปะการังรูปทรงต่างๆ


ภาพปะการังมองผ่านกระจกเรือกึ่งดำน้ำ ไม่รู้ว่าทำไมภาพออกสีเขียวๆไม่มีสีสรรเหมือนที่ดูตามสารคดี





เรือจะใช้ทริคปล่อยอาหารปลาเพื่อล่อฝูงปลามาใกล้ๆเรือให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปได้



ทัวร์เกาะ Green Island นี้มีให้เลือกทั้งแบบครึ่งวันและเต็มวัน นักท่องเที่ยวสามารถซื้อออพชั่นทานอาหารกลางวันบุฟเฟ่ต์บนเรือเพิ่มได้

นอกจากทัวร์เกาะ Green Island แล้ว ผมขอนำเสนออีกหนึ่งโปรแกรมเพื่อชมทิวทัศน์ Great Barrier Reef แบบพาโนรามาสำหรับผู้มีอันจะกิน นั่นคือการนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมแนวปะการังจากท้องฟ้า




เกาะ Green Island แบบ Bird-eye view เห็นรอยแนวปะการังรอบๆเกาะชัดเจน


ใครจะเชื่อว่าไอ้ที่เรียกว่าแนวปะการังนี่เห็นเป็น”แนว”จริงๆ


เวลามองจากมุมสูง ปะการังดูเหมือนผืนป่าแห่งท้องทะเล


ท่ามกลางท้องทะเลกว้างใหญ่ บางทีก็เกิดเกาะทรายเล็กๆ บรรดาเศรษฐีนิยมเอาเรือยอร์ชส่วนตัวมาปิกนิกที่นี่



เว็บไซด์ข้อมูล Green Island










วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

Postcard from Alaska: Prince William Sound Glacier เสียงคำรามจากธารน้ำแข็ง




หลายคนอาจจะนึกว่าซีรี่ย์ล่องอะลาสก้าของผมจบบริบูรณ์ไปแล้ว แต่...ยังครับ ถึงแม้จะขึ้นจากเรือสำราญแล้วแต่ภารกิจท่องเที่ยวอะลาสก้าของผมยังไม่จบ ไปตั้ง 10 วันจบง่ายๆก็กระไรอยู่

เรือ Radiance of the Sea จอดเทียบท่าที่หมายสุดท้ายที่เมือง Seward (ออกเสียงว่า “ซูเอิร์ด” ไม่ใช่ “ซีวอร์ด” นะ) ตั้งแต่เช้าตรู่ ชาวเรือสำราญก็ทยอยกันลงจากเรือตามแผนที่กัปตันเรือวางไว้ บางคนตรงดิ่งไปที่เมือง Anchorage ที่อยู่ไม่ไกลเพื่อจับเครื่องบินกลับบ้านทันที บางคนก็อยู่เที่ยวโต๋เต๋ต่อ ผมจัดเป็นพวกกลุ่มหลัง มาทั้งทีต้องเที่ยวอะลาสก้าให้คุ้ม



เรือสำราญได้จัดโปรแกรมแลนด์ทัวร์ที่ Seward ไว้ให้เลือกด้วย โปรแกรมยอดนิยมสองอันดับแรกได้แก่ล่องเรือชมธรรมชาติและธารน้ำแข็งที่ Kenai Fjords กับล่องเรือชมธารน้ำแข็งที่ Prince William Sound เท่าที่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะเลือกไป Kenai Fjords ผมเลยตัดสินใจเป็นคนส่วนน้อยไป Prince William Sound แทน

โปรแกรมท่องเที่ยว Prince William Sound Glacier ต้องนั่งรถบัสไปขึ้นเรืออีกที่หนึ่ง ไม่ได้ขึ้นที่ท่าเทียบเรือสำราญที่ Seward ถึงแม้ไม่ใช่โปรแกรมอันดับหนึ่งแต่คนเลือกทัวร์นี้ก็ไม่ใช่น้อย ใช้เวลานั่งรถพอสมควร แต่ก็มีธรรมชาติสองข้างทางให้เพลิดเพลินจำเริญใจ




รถบัสมาถึงที่ท่าเรือก่อนเที่ยง เรือที่ใช้ล่องเป็นเรือขนาดย่อมกว่าเรือสำราญ



ทัวร์นี้จะเสิร์ฟอาหารกลางวันบนเรือด้วย ที่นั่งในร่มจึงมีลักษณะเป็นโต๊ะอาหาร


ช่วงต้นๆของเส้นทางล่องเรือก็ยังผ่านป่าเขาเขียวขจี ภูเขาในบริเวณนี้ไม่ค่อยมีหิมะปกคลุมแล้ว หิมะหรือน้ำแข็งที่ละลายทำให้เกิดสายน้ำตกไหลลงมาตามหน้าผา


แต่พอล่องลึกเข้าไปเรื่อยๆก็จะกลายเป็นภาพภูเขาที่มีหิมะปกคลุมหนาๆ




สังเกตเห็นกลางทะเลมีจุดเล็กๆดำๆลอยอยู่ ที่แท้เป็นนากทะเล (Sea Otto) นอนตีกรรเชียงลอยเป็นแพ



การเดินทางเข้าสู่อะลาสก้าเมื่อห้าหกวันที่ผ่านมาเผชิญกับสภาพอากาศขมุกขมัวมีฝนประปราย แต่วันที่ Prince William Sound นี้อากาศเป็นใจมาก ฟ้าแจ้งจางปางแดดสดใส ทำให้ได้ภาพวิวสวยๆตลอดการล่องเรือ



จริงๆแล้ว Prince William Sound Glacier น่าจะเรียกว่าดงธารน้ำแข็งถึงจะถูก เพราะเรือแล่นผ่านธารน้ำแข็งขนาดใหญ่จำนวนไม่น้อย




สิ่งที่ทำให้วิวทัศนียภาพตระการตาเป็นพิเศษก็คือตัวธารน้ำแข็งไหลพาดผ่านเป็นทางยาวมาตามไหล่เขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ





สุดท้ายเรือมาจอดให้ชมธารน้ำแข็งแบบใกล้ๆที่หนึ่ง ไม่รู้ว่าชื่อจริงๆของธารน้ำแข็งจุดนี้เรียกว่าอะไร เพราะมัวเพลินชมธรรมชาติจนไม่ได้ฟังบรรยาย


เนื่องจากเป็นเรือที่มีขนาดเล็กกว่าจึงเข้าไปใกล้ธารน้ำแข็งได้มากกว่าวันที่ไป Hubbard Glacier แต่ก็ไม่ใกล้ขนาดเอามือไปจับลูบไล้เล่นได้หรอกนะ



ดูจากภาพอาจจะนึกว่าไม่ใหญ่ ลองเอาเรือหนึ่งลำไปเทียบดู เรือดูเล็กไปถนัดตา


ขณะที่จอดเท้งเต้งให้ถ่ายรูปธารน้ำแข็ง ก็เกิดน้ำแข็งทรุดถล่ม (ice calving) หรือที่ชนพื้นเมืองอะลาสก้าเรียกว่า white thunder เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเรียกอย่างนั้น ช่วงที่น้ำแข็งปริแตกและถล่มลงน้ำจะส่งเสียงเหมือนฟ้าร้องคำราม


เศษซากน้ำแข็งที่ถล่มลงมาก็จะลอยเท้งเต้งตามผิวน้ำ



เรือจอดให้นักท่องเที่ยวชักภาพตามอัธยาศัยพักหนึ่งก่อนหันหัวเรือกลับ


รวมๆแล้วใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 5.5 ชั่วโมง


ทัวร์จบลงที่พานักท่องเที่ยวไปส่งที่สนามบิน Anchorage ในตอนเย็น ถ้าคนจะไปทัวร์นี้และบินกลับทันทีควรจองไฟล์ทที่ take off หลังสี่ทุ่ม สำหรับผมจับแท็กซี่เข้าไปที่ตัวเมืองเพื่อค้างที่ Anchorage ต่ออีกสองคืน









About