วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตะวันรอนที่ Tanah Lot

คำว่า ตะวันรอน มีความหมายว่าพระอาทิตย์อ่อนแสงลง ซึ่งก็คือช่วงเวลายามเย็นใกล้ๆพระอาทิตย์ตกดินนั่นเอง เป็นหนึ่งในช่วงเวลาการชมวิวแบบซึมซับบรรยากาศที่ผมโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะแสงสุริยาที่ค่อยๆหรี่ลงให้ความรู้สึกเหมือนสัญญาณเคาท์ดาวน์เข้าสู่เวลาพักผ่อน เคยสังเกตุว่าเวลาเราดูพระอาทิตย์ตก ร่างกายและจิตใจที่ผ่านงานหนักมาทั้งวันจะเริ่มผ่อนคลายทำให้เกิดภาวะอารมณ์สุขสบายทั้งทางใจและกาย


และเมื่อใดที่ทิวทัศน์ที่ใช่มาเจอกับเวลาที่ชอบจึงบังเกิดเป็นบทความ ตะวันรอน แบบนี้ขึ้นมา ครั้งแรกขอประเดิมด้วยสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกสุดสวยที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

วัด Tanah Lot (ทานาห์ลอต) เป็นหนึ่งวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของบาหลี อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเด็นพาซาร์ (Denpasar) ภูมิทัศน์ที่โดดเด่นก็คือตัววัดอยู่บนโขดหินริมทะเล เวลาน้ำขึ้นเต็มที่จะกลายสภาพเป็นเกาะเล็กๆกลางทะเล

 
วิวชะง่อนหินยื่นไปในทะเลบริเวณใกล้ๆโขดหิน Tanah Lot
 
 
ยามเย็นจะเป็นช่วงเวลาน้ำลง สามารถเดินลงไปใกล้ๆโขดหินได้ แต่เขาปิดไม่ให้ขึ้นไปข้างบนโขดหิน

 
Tanah Lot ยามอาทิตย์อัสดง (เน้นภาพไม่เน้นเนื้อหา)

 

 
ส่งท้ายด้วยภาพตะวันกำลังลาลับขอบฟ้าที่ Tanah Lot
 
 
การเดินทางไป Tanah Lot
การเดินทางในบาหลีเหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา ไม่สามารถพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนได้ ผู้ที่จะไปเที่ยวที่นี่จะต้องวางแผนเช่ารถหรือจ้างแท็กซี่ไปเอง ไม่เช่นนั้นอีกทางหนึ่งก็คือเลือกไปกับโปรแกรมแลนด์ทัวร์ซึ่งจะพาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆจนมาสิ้นสุดที่ Tanah Lot เวลาใกล้พระอาทิตย์ตก

เว็บไซด์ข้อมูล Tanah Lot







วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Tokyo Motor Show 2011

ประเทศญี่ปุ่นจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก และยังถูกยกย่องให้เป็นจ้าวแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี่ ดังนั้นประสบการณ์ที่ได้สัมผัสความล้ำหน้าด้านยานยนต์ของเค้าจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาด ผมจึงตัดสินไปชมงานมหกรรมยานยนต์ Tokyo Motor Show ที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 ด้วยความอยากรู้ว่างานเค้าจะแตกต่างจากพวกมอเตอร์โชว์เอ็กโปบ้านเรารึเปล่า


งานมหกรรม Tokyo Motor Show จะจัดขึ้นทุกๆสองปี ในช่วงปลายพฤศจิกายนถึงต้นธันวาคม (ประมาณใกล้ๆกับงาน Motor Expo บ้านเรา) งานจะมีในปีค.ศ.เลขคี่โดยครั้งล่าสุดที่จัดก็เมื่อปี 2011 ที่ผมไป (สู้งานบ้านเราไม่ได้มีถึงปีละสองครั้ง)

งาน Tokyo Motor Show ปี 2011 จัดเป็นครั้งที่ 42 ที่ Tokyo Big Sight ซึ่งเป็นศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมขนาดใหญ่อยู่ที่ย่านโอไดบะของโตเกียว


บรรยากาศภายในฮอลล์จัดงานค่อนข้างแออัด รูปแบบการจัดบู๊ทของญี่ปุ่นไม่ได้เรียงกันเป็นแนวแถวทำให้การเดินชมงานให้ทั่วยากลำบาก เนื่องจากข้อมูลในงานเน้นเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว จึงได้แต่เก็บภาพบรรยากาศมาฝากแล้วกัน

งานนี้บริษัทรถยี่ห้อบิ๊กๆของญี่ปุ่นมาออกบู๊ทกันถ้วนหน้า เริ่มจากค่ายโตโยต้า


เมื่อปี 2011 โตโยต้าออกโฆษณาภายใต้คอนเซ็ปต์ REBORN จับธีมการ์ตูนโดราเอม่อน บอกเล่าเรื่องราวเมื่อโนบิตะและผองเพื่อนในวัย 30 กว่าปี มีดาราฮอลลีวู้ดฌอง เรโนมารับบทเป็นโดราเอม่อน คนคัดเลือกนักแสดงช่างใจร้ายกับโนบิตะจริงๆเล่นเลือกเอาดารานักร้องรูปหล่อยามะพีมาเล่นเป็นซูเนโอะ (กลบรัศมีโนบิตะเห็นๆ)


ตามมาด้วยฮอนด้า (บู๊ทนี้จัดแสงได้ปวดใจตากล้องมาก)


นิสสัน


มิตซูบิชิ


มาสด้า


ซูซูกิ


ไดฮัทสุ


ไม่เว้นแม้แต่ค่ายรถเด็กเล่นอย่าง TOMICA


ถ้าเป็นฝั่งยุโรปก็มี Mercedes Benz, BMW, Audi, Volkswagen


Chevrolet จากประเทศสหรัฐอเมริกา (ไม่แน่ใจว่าเป็นรถหรือตู้เกมซิมูเลชั่นกันแน่)


มีแสดงรถสำหรับลูกค้าทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นรถราคาแพงสำหรับผู้สูงศักดิ์


หรือรถ(ราคาก็คงแพง)สำหรับคนติดดิน


ปีนี้เน้นคอนเซ็ปต์รถใช้พลังงานไฟฟ้า (เซฟค่าน้ำมันมาจ่ายบิลค่าไฟแทน)


งานโชว์รถงานไหนที่ไม่มีแขกรับเชิญสองรายนี้ถือว่าเชยมาก


นอกจากรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ก็ยังมีรถเพื่อการอื่นมาแสดงด้วย อาทิเช่น รถแข่ง รถแท็กซี่ รถใช้งานในสวน (สำหรับบ้านที่มีอาณาบริเวณสวนกว้างเป็นไร่ๆ)


นอกจากรถแนวตลาดทั่วๆไป ก็ยังมีรถรูปทรงแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็นใครเอาออกมาขับขี่ตามท้องถนนร่วมโชว์มากมาย (เหมือนมาจากโลกอนาคต)


รถคันนี้คงไม่เหมาะกับประเทศไทย ถ้ารถติดเกิดปวดฉี่ขึ้นมางัดคอมฟอร์ต 100 มาใช้ไม่ได้


ไม่ใช่มีเพียงแต่รถสี่ล้อเท่านั้น รถที่มีล้อน้อยกว่าสี่ล้อก็มี


หรือรถมากกว่าสี่ล้อก็มา (ออกแบบโดยบริษัทผลิตยางรถยนต์หรือไง)


สำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันจะไปงาน Tokyo Motor Show เพื่อถ่ายรูปพริตตี้ญี่ปุ่น คงต้องผิดหวัง เพราะงานนี้เน้นโชว์รถไม่เน้นโชว์พริตตี้จริงๆ

ในงานมีพริตตี้จำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่เน้นแนวน่ารักนิดหน่อย (ไม่เยอะจริงๆ) แถมบางคนจะปักป้ายบอกเลยว่าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป นอกจากนี้ข้างในฮอลล์จัดงานก็จัดแสงได้ปวดตับมาก (มืดสลัวไปไหน)

พริตตี้แต่ละนางแต่งตัวมิดชิดมาก


นี่เป็นชุดวาบหวิวที่สุดที่หาได้ในงาน


น้องๆพริตตี้ญี่ปุ่นจะมีท่าถ่ายรูปมาตรฐานก็คือท่าชูโบรชัวร์


ส่งท้ายด้วยภาพรวมมิตรพริตตี้คาวาอี้


สำหรับคนที่รอชมภาพพริตตี้สวยๆ ไว้รอตอนที่ผมเขียนรีวิวงาน Seoul Motor Show แล้วกัน

การเดินทางไปที่ Tokyo Big Sight
รถไฟฟ้าสาย Yurikamome ลงที่สถานี Kokousai-Tenjijo หน้า Tokyo Big Sight เดินต่อไม่เกินสามนาที
หรือนั่งรถไฟสาย Rinkai ลงที่สถานี Kokousai-Tenjijo เดินต่อประมาณห้าถึงสิบนาที (ชื่อสถานีอาจเหมือนกันแต่อยู่คนละที่กับอันแรก สถานีของสาย Rinkai จะอยู่ไกลกว่าหน่อย)

สำหรับงาน Tokyo Motor Show ปี 2013 จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายนถึง 1 ธันวาคมนี้

ผู้สนใจสามารถเข้าไปเช็คข้อมูลได้ที่เว็บไซด์ของงาน







วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Postcard from Alaska: Misty Fjords ล่องฟยอร์ดชมธรรมชาติ



เรายังอยู่กันที่ Ketchikan เมืองหน้าด่านของอะลาสก้า

การล่องเรือสู่อะลาสก้าไม่ต้องกังวลว่าวันๆจะหมกอยู่บนเรือจนชีวิตจะเฉาตาย เพราะเรือสำราญจะแวะจอดตามเมืองที่อยู่รายทางให้นักท่องเที่ยวลงไปยืดเส้นยืดสายท่องเที่ยวได้ ผู้โดยสารสามารถเลือกได้ว่าจะลงไปย่ำต๊อกสำรวจเมืองด้วยตัวเองหรือจะร่วมโปรแกรมแลนด์ทัวร์ที่มีให้เลือก (แต่เสียตังค์เพิ่มนะ) แต่ถ้าพิศมัยบรรยากาศบนเรือไม่อยากลงไปเที่ยวจะอยู่แต่บนเรือก็ได้ไม่มีใครบังคับ

เมื่อเดินทางมาอะลาสก้าทั้งที ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะเที่ยวให้เต็มเหนี่ยวจึงวางแผนร่วมแลนด์ทัวร์ทุกๆเมืองที่จอดแวะ ในแต่ละเมืองจะมีแลนด์ทัวร์หลากหลายแบบให้เลือก ตั้งแต่ชิลล์ๆสบายๆไปจนถึงแบบแอดเวนเจอร์สมบุกสมบัน ผมตัดสินใจพิจารณาเลือกโปรแกรมที่ป๊อบปูล่าร์ติดท๊อปชาร์ตและเหมาะกับสภาพสังขารตัวเอง

สำหรับเมือง Ketchikan ผมเลือกโปรแกรมที่ชื่อว่า Misty Fjords & Wilderness Explorer ซึ่งจะล่องเรือผ่านฟยอร์ดชมธรรมชาติและชีวิตสัตว์อะลาสก้า โดยต้องมาขึ้นเรือเล็กที่ท่าจอดเรือสำราญ


Fjords หรือฟยอร์ด (กรุณาออกเสียงฟ.ฟันกับย.ยักษ์พร้อมกัน) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งบนที่ราบหุบเขาทำให้เกิดโตรกธารลัดเลาะไปตามหน้าผา ประกอบกับเมื่อธารน้ำแข็งที่กดทับละลายเปลือกโลกเกิดการเด้งตัวกลับทำให้เกิดทัศนียภาพสายน้ำแคบๆไหลผ่านหน้าผาตระหง่านสูงชัน ดังนั้นฟยอร์ดมักพบเห็นได้ในบริเวณพื้นที่ใกล้ขั้วโลกที่มีธารน้ำแข็ง อาทิเช่น สแกนดิเนเวีย อะลาสก้า เป็นต้น



Misty Fjords อยู่ห่างจากเมือง Ketchikan ทางทิศตะวันออกประมาณ 60 กว่ากิโลเมตร การล่องเรือในช่วงแรกจะผ่านบริเวณที่สามารถมองเห็นวิวชายฝั่ง ผ่านศูนย์วัฒนธรรมชนพื้นเมือง


กัปตันเรือจะคอยชี้บอกตำแหน่งพิกัดที่สามารถเห็นสรรพสัตว์ได้ แล่นออกไม่นานก็เจอรังนกอินทรีย์หัวล้าน (Bald Eagle) หนึ่งในสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกา


พอแล่นลึกเข้าไปเรื่อยๆก็เริ่มห่างฝั่งขึ้นเรื่อยๆ


จุดไฮไลท์สำคัญระหว่างเส้นทางล่องเรือก็คือ New Eddystone Rock เป็นแท่งหินตั้งโด่เด่บนเกาะเล็กๆ


ที่ฐานแท่งหินจะมีโพรงถ้ำ ที่นี่เป็นจุดที่นิยมจะมาจัดงานแต่งงานกัน


ผ่านจากแท่งหินชี้ฟ้าไม่นานก็เริ่มเข้าสู่หน้าผาฟยอร์ด ผาสีเทาดำสูงชันตระหง่านสองฝั่งดูอลังการ


จุดชมวิวอีกจุดหนึ่งของฟยอร์ดชื่อว่า Punchbowl Cove เป็นบริเวณผาที่เว้าเป็นรูปลักษณ์คล้ายชาม


เรือจะชะลอให้นักท่องเที่ยวดื่มด่ำทัศนียภาพได้เต็มที่


ลานตากแมวน้ำเป็นบริเวณที่แมวน้ำนิยมมานอนอาบแดดกัน


ตลอดสองฝั่งทางมักจะพบเห็นน้ำตกสายเล็กๆที่ไหลลงมาตามหน้าผาชัน


การชมฟยอร์ดนอกจากโปรแกรมล่องมาทางเรือแล้ว ยังสามารถควักกระเป๋าจ่ายแพงเลือกเดินทางด้วยเครื่องบินเล็กก็ได้ ซึ่งจะได้ภาพมุมสูงงดงามไปอีกแบบ (แต่ผมเลือกแบบประหยัดไว้ก่อน)


กลับมาถึงที่ท่าเรือเวลาบ่ายโมงครึ่ง รวมทั้งหมดใช้เวลาล่องเรือประมาณสี่ชั่วโมงครึ่ง ยังพอมีเวลาเหลือให้เดินสำรวจดาวน์ทาวน์แบบไฮสปีดได้อีกรอบ


เรือสำราญมีกำหนดเดินเครื่องแล่นออกจาก Ketchikan เวลา 16.00 น. โดยผู้โดยสารทุกคนจะต้องกลับมาบนเรือไม่ช้ากว่า 30 นาทีก่อนเรือออก


 อำลาเมือง Ketchikan ด้วยภาพเมืองถ่ายจากเรือรัศมีแสงแห่งทะเลที่กำลังแล่นจากไป


การร่วมโปรแกรมแลนด์ทัวร์
การร่วมแลนด์ทัวร์สามารถสั่งซื้อทางออนไลน์ก่อนเดินทางหรือจะไปซื้อบนเรือหลังออกเดินทางก็ได้ แต่ละเมืองจะมีโปรแกรมประมาณยี่สิบกว่าแบบให้เลือก บางโปรแกรมมีหลายเวลาสามารถจัดหลายๆโปรแกรมภายในหนึ่งวันได้ ทัวร์จะเรียกระดมพลที่บริเวณท่าจอดเรือสำราญ






About