วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตะวันรอนที่ Yongduam Rock


กลับมาเป็นครั้งที่สองแล้วสำหรับการเดินทางเพื่อชมอาทิตย์อัสดงในวิวสวยๆ จากเมื่อคราวที่แล้วที่บาหลี ครั้งนี้เราจะไปกันที่เกาะเชจู อันแสนโรแมนติกของประเทศเกาหลีใต้

จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินของเกาะเชจูที่แนะนำว่าห้ามพลาดก็คือสถานที่ที่เรียกว่า “โขดหินเศียรมังกร” หรือโขดหินยงดูอัม (Yongduam Rock, 용두암)


อยู่ที่เมือง Jeju-si (제주시) ทางตอนเหนือของเกาะเชจู


โขดหินถูกกัดกร่อนโดยคลื่นและลมมากว่าพันๆปีจนทำให้มีรูปร่างแปลกประหลาด มีคนช่างจินตนาการมองว่าเหมือนหัวมังกร จึงตั้งชื่ออย่างนั้น


หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเกาะเชจูก็คือหิน Dol hareubang ( 하르방) หรือหินตาแก่ พบเห็นได้แทบทุกที่บนเกาะ


อีกหนึ่งเอกลักษณ์วัฒนธรรมขึ้นชื่อของเกาะเชจูก็คือแฮเนียวหรือคุณป้ามนุษย์กบ (해녀) เป็นหญิงชาวเกาะที่ทำอาชีพดำน้ำงมของทะเลขาย ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 4,000 กว่าคนและส่วนมากอายุเกิน 60 แล้ว (จึงเรียกว่าคุณป้า) มักถูกเปรียบเปรยกับนางเงือก


ตามธรรมเนียมของตะวันรอน ไม่ต้องบรรยายอะไรมากปล่อยให้ภาพถ่ายทอดบรรยากาศเอาเอง





ดูภาพหินเยอะแล้วขอแก้เลี่ยนด้วยภาพเมืองอีกฟากหนึ่งของบริเวณจุดชมวิว


โขดหินยงดูอัมอยู่ทางทิศเหนือของเมืองไม่ไกลจากสนามบิน นอกจากชมพระอาทิตย์ตกดินยังสามารถชมเครื่องบินขึ้นลงได้ในเวลาเดียวกัน


การเดินทางไป Yongduam Rock
ถ้าพักอยู่ที่เมือง Jeju-si แนะนำให้เรียกแท็กซี่ไป ใช้เวลาประมาณสิบนาที












วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Acrophillia: Shanghai World Financial Center


Acrophillia เป็นเรื่องที่ผมเขียนบ่อยที่สุด คราวนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว จะขอพาผู้หลงใหลที่สูงไปเที่ยวตึกระฟ้าอีกตึกหนึ่งที่เป็นเจ้าของสถิติที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ตึกที่สูงที่สุดในโลกหรอกครับแต่เป็นตึกที่มีจุดชมวิวสำหรับนักท่องเที่ยวสูงที่สุดในโลก นั่นคือ ตึก Shanghai World Financial Center (上海环球金融中心) ขอเรียกย่อๆว่าตึก SWFC


ตึก SWFC ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตั้งอยู่ในเขตผู่ตง () ทางตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่ มีความสูง 492 เมตรเป็นตึกสูงอันดับสี่ของโลกขณะที่เขียนนี้


ตึก SWFC อยู่ติดๆกับตึกระฟ้าที่สูงติดอันดับโลกอีกตึกหนึ่งชื่อว่าตึกจินเหมา (Jin Mao Tower, 金茂大厦) ที่มีรูปร่างคล้ายเจดีย์โบราณทรงแปดแฉก ในอดีตตึกจินเหมาเคยเป็นตึกสูงที่สุดในเซี่ยงไฮ้ก่อนที่จะเสียมงกุฏให้กับตึก SWFC ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา



ตึก SWFC ได้รับการกล่าวถึงในสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นแปลกตา นั่นคือส่วนบนสุดของตึกจะมีรู ซึ่งเจ้ารูนี้ไม่ได้เพราะถือฮวงจุ้ยอะไร แต่เป็นดีไซน์ที่ช่วยลดแรงปะทะของกระแสลม ในตอนแรกออกแบบเป็นรูวงกลม แต่มีคนจีนแย้งว่าดูแล้วทำให้นึกถึงภาพพระอาทิตย์บนธงชาติญี่ปุ่น ก็เลยเปลี่ยนจากรูวงกลมเป็นช่องสี่เหลี่ยมแทน ด้วยรูปลักษณ์นี้ทำให้คนนิยมเรียกตึก SWFC ว่าตึกที่เปิดฝาขวด


ตึกมีจุดชมวิวเปิดสำหรับนักท่องเที่ยว 3 ชั้นได้แก่ ชั้น 94, 97 และ 100 ซึ่งชั้น 100 อยู่ที่ความสูง 474 เมตรเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลกเทียบกับบรรดาตึกระฟ้าด้วยกัน (ตึก Burj Khalifa ในเมืองดูไบที่สูงที่สุดในโลกมีจุดชมวิวที่ความสูงแค่ 452 เมตร)


จุดชมวิวชั้น 100 อยู่ที่ขอบด้านบนของช่องลมสี่เหลี่ยม



ภาพทิวทัศน์ของเขตผู่ตงจากชั้น 100



จากตึกนี้สามารถมองเห็นหอไข่มุก (Oriental Pearl Tower) และหาดไว่ทาน (ภาษาอังกฤษเรียกว่า The Bund) ได้




สูงขนาดที่มองเห็นหลังคาตึกจินเหมาเพื่อนบ้านเลยทีเดียว


ชั้นนี้มีพื้นกระจก แต่มองไม่เห็นอะไรนอกจากหลังคาขอบล่างของช่องลมสี่เหลี่ยม


ส่วนจุดชมวิวชั้น 97 อยู่ที่ขอบล่างของช่องลมสี่เหลี่ยม


ว่ากันว่าในวันที่อากาศดีๆ เค้าจะเปิดหลังคาให้รับลม แต่วันที่ไปอากาศขมุกขมัวมากก็เลยไม่ได้เปิดโชว์


วิวจากชั้น 97 วิวเดิมแต่จากมุมมองที่ต่ำกว่า



ส่วนชั้น 94 เป็นลานที่สามารถใช้จัดกิจกรรมได้ โดยมีหน้าต่างกระจกให้ชมวิว


ปัจจุบันในบริเวณใกล้ๆกันกำลังมีการสร้างตึกระฟ้าใหม่อีกตึกหนึ่งชื่อว่า Shanghai Tower (上海中心大厦) ซึ่งจะสูงกว่าตึก SWFC อีก

การเดินทางไป Shanghai World Financial Center
ตึก SWFC อยู่ไม่ไกลจากหอไข่มุก ถ้าใครไปเที่ยวที่หอไข่มุกสามารถเดินมาตามถนน Century Avenue ได้ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ถ้าเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินก็นั่งสาย 2 มาลงที่สถานี Dong Chan Road หรือสถานี Lujiazui แล้วเดินต่ออีกไม่เกิน 10 นาที

ตั๋วขึ้นไปชมวิวบนตึก SWFC มีสองแบบ ตั๋วราคาถูกหน่อยจะขึ้นไปได้เฉพาะชั้น 94 แต่ถ้าจ่ายแพงหน่อยก็จะขึ้นไปเที่ยวชั้น 97 และ 100 ได้ด้วย

เว็บไซด์ของตึก Shanghai World Financial Center










วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Postcard from Alaska: Anchorage ชายผู้เดินทางไวกว่าแสง



สำนวนจีนมีคำกล่าวว่า “ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา” ผมหยิบยืมมาใช้เกริ่นแบบซึ้งๆเพื่อปิดฉากเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวอะลาสก้าของผม หลังจากเขียนเล่ามายาวนานเป็นปีก็มาถึงบันทึกหน้าสุดท้ายแล้ว
วันสุดท้ายบนดินแดนอะลาสก้าของผมอยู่ที่เมือง Anchorage ตามกำหนดการผมจะบินออกจากเมืองด้วยไฟล์ทค่ำ ถึงแม้มีเวลาค่อนวันแต่เพื่อความเซฟก็ไม่ควรไปทัวร์เต็มวัน แต่โปรแกรมทัวร์ครึ่งวันที่มีก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ผมเลยตัดสินใจใช้เวลาสำรวจเมือง Anchorage ด้วยตนเองแทน โดยพึ่งพาคัมภีร์นักเดินทางผู้โดดเดี่ยวอย่าง Lonely Planet


ตอนที่เปิดดูหนังสือ Lonely Planet เพื่อหาข้อมูลเส้นทางเดินสำรวจเมือง ผมเกิดไปสะดุดใจกับคำว่า Anchorage Light Speed Planet Walk ซึ่งจั่วหัวยั่วน้ำลายไว้ว่าเป็นการเดินชมเมือง Anchorage ณ ความเร็วแสง อะไรที่แปลกๆอย่างนี้มีหรือที่จะพลาด ผมเลยตัดสินใจตามแผนเส้นทาง Planet Walk นี้


จริงๆแล้วก็เป็นเส้นทางเดินชมเมืองแบบชิลๆ แต่แทนที่จะเดินดุ่ยๆ ชาวเมือง Anchorage ก็ช่างคิดทำเป็นสถานีตลอดเส้นทาง แต่ละสถานีก็คือดาวเคราะห์ต่างๆในระบบสุริยะจักรวาลซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่สถานีดวงอาทิตย์และสิ้นสุดสถานีสุดท้ายที่พลูโต (ตอนที่คิดไอเดียนี้พลูโตน่าจะยังไม่ถูกถอดออกจากตำแหน่งดาวเคราะห์) โดยเปรียบการเดินตามเส้นทางเสมือนการเดินทางของแสงจากดวงอาทิตย์ไปสู่ดาวเคราะห์ต่างๆ


แต่ละสถานีก็จะมีข้อมูลของดาวเคราะห์แต่ละดวงไว้ด้วย เรียกว่าเดินออกกำลังกายแถมยังได้ความรู้ดาราศาสตร์ไปในตัว


การเดินเท้าจากสถานีแรกดวงอาทิตย์ไปถึงสถานีสุดท้ายพลูโตใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเท่ากับเวลาที่แสงใช้เดินทางจากดวงอาทิตย์ไปถึงดาวพลูโตจริงๆ นอกจากนี้การเดินเท้าไปแต่ละสถานีดาวเคราะห์ก็ใช้เวลาเทียบเคียงกับการเดินทางของแสงจากดวงอาทิตย์ไปยังดาวเคราะห์นั้นๆ จึงเป็นที่มาของคำโปรยว่าเดินทางด้วยความเร็วแสง

เนื่องด้วยไม่แน่ใจว่าที่สถานีพลูโตจะจับรถกลับมาใจกลางเมืองได้ง่ายรึเปล่า ถ้าให้เดินย้อนกลับจะใช้เวลารวมมากกว่า 10 ชั่วโมงก็โหดกระไรอยู่ เลยตัดสินใจว่าจะเดินไปแค่สถานีดาวเสาร์ซึ่งใช้เวลาแค่ชั่วโมงครึ่งก็พอ


สถานีตั้งต้นคือสถานีดวงอาทิตย์อยู่ที่แยกถนนหมายเลข 5 ตัดกับถนนสาย G ใจกลางเมือง Anchorage จะตัดถนนเป็นบล็อคๆ แล้วใช้ตัวเลขกับตัวอักษรภาษาอังกฤษตั้งเป็นชื่อถนนแนวนอนกับแนวตั้งตามลำดับ


ที่หัวมุมถนนจะมีรูปจำลองดวงอาทิตย์ผ่าซีก


ถัดไปเป็นสถานีดาวพุธ


จริงๆแล้วตัวสถานีอยู่ฝั่งทะแยงมุมสี่แยกดวงอาทิตย์ แต่ตอนเดินต้องข้ามถนนสองทอด ปรากฏว่าผมใช้เวลาไป 2.52 นาที เทียบกับแสงใช้เวลา 3 นาที (แสดงว่าคนวางแผนเส้นทางมีเผื่อเวลาไฟเขียวไฟแดงข้ามถนนไว้ด้วย)


จากนั้นก็เดินลงมาตามถนนหมายเลข 5 มาที่สถานีดาวศุกร์ (ผมใช้เวลา 4.52 นาที ส่วนแสงใช้ 6 นาที)


กลับมาเยือนโลกของเรา (ผม 6.53 นาที vs แสง 8 นาที)


เส้นทางช่วงแรกจะอยู่ในย่านใจกลางเมือง แต่หลังจากสถานีโลกแล้ว เส้นทางเดินจะเริ่มเลียบทะเล


สถานีดาวอังคารเป็นสวนหย่อมชื่อว่า Elderberry Park มีรางรถไฟวิ่งผ่านกลาง (ผม 9.44 นาที vs แสง 13 นาที นำขาดเห็นๆ)



บางจุดก็มีวิวสวยๆให้แวะดื่มด่ำได้ บางคนที่มาตามเส้นทาง Planet Walk ใช้วิธีขี่จักรยาน ซึ่งก็เปรียบเหมือนการวาร์ปในอวกาศ (เดินทางเร็วกว่าแสง)



มาถึงสถานีดาวพฤหัส ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล ผมทำเวลาดีกว่าแสงเห็นๆ (ทิ้งห่างแสงไปถึงสิบนาที)


สถานีดาวพฤหัสอยู่ที่บริเวณ Westchester Lagoon ซึ่งเป็นทะเลสาบย่อมๆใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้



จากสถานีดาวพฤหัสใช้เวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานีดาวเสาร์ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลที่ผมชอบที่สุด สถานีดาวเสาร์อยู่ที่ Lyn Ary Park เท่าที่สังเกตุดูน่าจะเป็นศูนย์นันทนาการเล็กๆ



เป็นอันว่าจบเกมส์ผมใช้เวลาไปทั้งหมด 58 นาที ชนะแสงที่ใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง 20 นาที ได้ถูกจารึกไว้ว่าเป็นชายที่เดินทางไวกว่าแสง (ฮ่าฮ่าฮ่า...ไม่อยากคุย) แต่จริงๆแล้วผมแอบโกงนิดหน่อย พอเมื่อยเหนื่อยผมก็แวะนั่งพักหยุดเวลาไว้ (อย่าไปบอกแสงนะครับ)


หลังจากนั้นก็เดินดุ่ยๆกลับมาย่านใจกลางเมือง เป็นอันว่าฆ่าเวลาไปได้ครึ่งวัน เวลาที่พอเหลืออยู่ในช่วงบ่ายผมตัดสินใจไปเดินที่ weekend flea market อยู่ที่แยกตัดระหว่างถนนหมายเลข 3 กับถนน E


ตลาดนี่จะเปิดเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ร้านส่วนใหญ่จะขายสินค้าท้องถิ่นอะลาสก้า


อาทิเช่น เครื่องประดับทำจากกระดูกเขาสัตว์ประจำถิ่น ในร้านที่ขายจะติดป้ายเตือนว่าสินค้าประเภทนี้นำออกจากอะลาสก้าได้แต่อาจนำเข้าบางรัฐหรือบางประเทศไม่ได้ ผมเลยไม่ซื้อดีกว่า


หมวกกันแมลง เค้าว่ากันว่าในหน้าร้อนที่นี่ยุงชุม


ภาพถ่ายแสงเหนือ เนื่องจากอะลาสก้าอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ จึงเป็นอีกจุดที่สามารถชมปรากฏการณ์แสงเหนือได้ดี


แว่นกันแดดเอสกิโม (ไม่รู้ว่าใช้ยังไง)


เดินๆในตลาดเจอรถขายอาหารไทย แวะเข้าไปซื้อจึงรู้ว่าเป็นร้านของคนไทย ก็เลยอุดหนุนผัดไทยกับชาเย็น


เว็บไซด์ของ Anchorage Light Speed Planet Walk








About