วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฮิโรชิม่ากับภารกิจนกกระเรียนพันตัว

เคยได้ยินหนังสือชื่อ ซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว ไหมครับ เรื่องราวชีวิตจริงของเด็กหญิงเมืองฮิโรชิม่าคนหนึ่งที่ต้องทุกข์ทรมานจากอาการป่วยเนื่องจากผลของกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เด็กหญิงซาซากิ ซาดาโกะมุ่งมั่นที่จะพับนกกระเรียนกระดาษให้ได้หนึ่งพันตัวด้วยความหวังว่าจะทำให้เธอหายจากความเจ็บป่วยดังกล่าว แต่เด็กหญิงผู้น่าสงสารต้องเสียชีวิตไปก่อนที่จะพับได้ครบ ทำให้นกกระเรียนกระดาษพับกลายมาเป็นสัญลักษณ์การแสวงหาสันติภาพจนถึงปัจจุบัน


วันหนึ่งช่วงกลางปี 2009 ก่อนที่ผมจะเดินทางไปภูมิภาคคันไซทางตะวันตกของญี่ปุ่น รายการทีวีท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นรายการหนึ่งพาไปที่สวนอนุสรณ์สันติภาพเมืองฮิโรชิม่า ซึ่งมีอนุสาวรีย์รำลึกถึงเด็กหญิงซาดาโกะและเด็กๆอีกนับพันๆคนที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นี่ทุกๆวันจะมีนกกระเรียนกระดาษพับนับพันตัวส่งมาจากทั่วสารทิศนำมาตั้งแขวนเพื่อสักการะดวงวิญญาณของซาดาโกะและเด็กๆ


น้องสาวผมมีความคิดขึ้นมาว่าน่าจะมีนกกระเรียนกระดาษพับเป็นตัวแทนจากประเทศไทยไปร่วมสักการะด้วย จึงทำการพับนกกระเรียนกระดาษให้ได้หนึ่งพันตัว เนื่องจากผมไม่มีหัวทางด้านศิลปะที่จะช่วยพับได้จึงขันอาสาทำหน้าที่แมสเซนเจอร์ช่วยนำไปส่งถึงที่แทน

นกกระเรียนกระดาษพับหนึ่งพันตัวพร้อมแล้ว ผมออกเดินทางจากที่พักในเมืองโอซาก้าด้วยรถไฟสายชินคันเซน ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงถึงฮิโรชิม่า


จากสถานีรถไฟฮิโรชิม่านั่งรถรางมาที่สวนอนุสรณ์สันติภาพ สวนอนุสรณ์ฯประกอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างมากมายในอาณาบริเวณ


เมื่อลงจากรถรางระหว่างทางเดินไปสวนจะผ่านอาคารที่เรียกว่า A-Bomb Dome (原爆ドーム,) เป็นหนึ่งในไม่กี่ซากตึกที่หลงเหลือจากแรงระเบิดปรมาณู แต่เดิมก่อนโดนระเบิดเป็นอาคารแสดงสินค้าประจำจังหวัดฮิโรชิม่า  ปัจจุบันมีรั้วกั้นล้อมไม่ให้เข้าใกล้ตึก ได้รับการยกย่องจากองค์กรยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1996


จากตึก A-Bomb Dome เดินข้ามสะพานมาฝั่งสวน ก็จะถึงอนุสาวรีย์สันติภาพเด็กที่รำลึกถึงเด็กหญิงซาดาโกะ


รอบๆอนุสาวรีย์ก็จะเป็นที่สำหรับตั้งแขวนนกกระเรียนกระดาษพับที่นำมาสักการะ



ในที่สุดนกกระเรียนกระดาษพับสัญชาติไทยที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมานับพันไมล์ก็ถูกนำไปแขวน


 สิ่งปลูกสร้างอื่นๆในบริเวณสวนก็มีระฆังสันติภาพ ใครมาที่นี่ก็จะมาตีระฆังให้ก้องกังวานส่งเสียงเรียกร้องสันติภาพสู่โลก


อนุสาวรีย์รำลึกผู้เสียชีวิตจากสงครามทรงโค้งที่มองลอดไปเห็นอาคาร A-Bomb Dome


ด้านในสุดของสวนจะมีพิพิธภัณฑ์สันติภาพที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ชื่อว่า Little Boy ลงที่เมืองฮิโรชิม่าเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945

โมเดลจำลองสภาพเมืองฮิโรชิม่าก่อนและหลังระเบิดลง



นาฬิกาตายบอกเวลาแปดโมงสิบห้านาทีตอนเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ระเบิดลง


ซากพระพุทธรูปที่หลอมละลายเนื่องจากความร้อนจากระเบิด


นกกระเรียนกระดาษพับฝีมือเด็กหญิงซาดาโกะ


สิ่งที่ผมประทับใจก็คือพิพิธภัณฑ์นี้มุ่งเน้นนำเสนอให้ผู้เข้าชมตระหนักถึงผลเลวร้ายจากภัยสงครามระเบิดนิวเคลียร์และร่วมสร้างสันติภาพโลก

การเดินทางไปสวนอนุสรณ์สันติภาพ
จากสถานีรถไฟฮิโรชิม่า โดยสารรถรางสาย 2 หรือสาย 6 ลงที่สถานี Genbaku Dome-mae

ฮิโรชิม่าเป็นหนึ่งในเมืองญี่ปุ่นที่ยังอนุรักษ์รถรางเป็นพาหนะหลักใช้ในการเดินทางในเมือง ว่ากันว่าเมืองที่ยกเลิกระบบรถรางไปแล้วก็จะโอนรถรางมาไว้ที่ฮิโรชิม่า จึงจะเห็นรถรางทั้งแบบใหม่และเก่าวิ่งขวักไขว่ในเมือง (ที่ฮิโรชิม่าเรียกรถรางเป็นภาษาอังกฤษว่า streetcar)


เว็บไซด์ของพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพแห่งฮิโรชิมา
พิพิธภัณฑ์นี้เก็บค่าเข้าชมเพียง 50 เยนเท่านั้น







วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Matterhorn: ยอดเขาทอบเบิลโรน

ถ้าให้นักท่องเที่ยวนั่งไล่ชื่อประเทศที่มีบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกแล้วละก็คงมีสวิสเซอร์แลนด์ปรากฏอยู่ในลิสต์แน่นอน ถ้าท่านยังไม่เคยไป ก็ลองหลับตาจินตนาการภาพหมู่บ้านเล็กๆอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจีมีแบ็คกราวด์เป็นเทือกเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวล้อมรอบตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงิน เป็นยังไงครับแค่จินตนาการก็อยากไปเห็นของจริงแล้วใช่ไหมครับล่ะ


แต่สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น วันนี้ผมเลยขออาสาพาไปชื่นชมหนึ่งในทิวทัศน์สวิสเซอร์แลนด์ที่สวยอลังการและเป็นสัญลักษณ์ที่ปรากฏสู่สายตาชาวโลก นั่นคือยอดเขา Matterhorn ที่เมืองแซร์มัต (Zermatt) ทางตอนใต้ของประเทศ


จุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของ Matterhorn อยู่ที่รูปทรงยอดเขาที่มีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมปิรามิด ปกคลุมด้วยหิมะแทบทั้งปี มีระดับความสูงถึงยอดเขาที่ 4,478 เมตร


ชื่อ Matterhorn อาจจะฟังดูไม่คุ้นหูสำหรับบางท่าน แต่น่าจะรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง เนื่องจากถูกใช้เป็นตราโลโก้ช็อคโกแลตสวิสชื่อดังยี่ห้อทอบเบิลโรน (Toblerone) ว่ากันว่ารูปทรงสามเหลี่ยมของตัวช็อคโกแลตก็มาจากรูปร่างยอดเขานี่เอง


ไม่มีพาหนะใดๆขึ้นเขาไปโดยตรง การปีนเขาทางเท้าก็ลำบากยากเข็ญยิ่ง ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่ต้องการชมทัศนียภาพ Matterhorn นิยมเดินทางไปยอดเขาใกล้ๆที่ชื่อ Gornergrat แทน


การเดินทางขึ้นไปบนยอด Gornergrat ทำได้โดยรถไฟจากเมือง Zermatt สถานีรถไฟขึ้นไป Gornergrat จะอยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟของเมือง


ระหว่างทางรถไฟขึ้นเขาจะมองเห็นเมือง Zermatt ที่มียอด Matterhorn เป็นฉากหลัง


ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานี Gornergrat


บนยอด Gornergrat จะมีอาคารทรงแปลกๆชื่อว่า Kulm Hotel เป็นทั้งโรงแรมและลานชมวิว มีร้านอาหารและร้านค้าย่อมๆภายในอาคาร


ป้ายบ่งบอกระดับความสูงของ Gornegrat ที่อุดมไปด้วยลายเซ็นนักท่องเที่ยว (ส่องหาของคนไทยไม่เจอ)


ทิ้งท้ายด้วยภาพวิวของ Matterhorn จาก Gornergrat ในหลากหลายมุม


การเดินทางไปเมือง Zermatt
นั่งรถไฟจากซูริคต่อที่เมือง Visp ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงถึง Zermatt
ถ้ามาจากเมือง Interlaken ก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง แต่ต้องต่อรถไฟสองครั้งที่เมือง Spiez และ Visp
(ที่สถานีรถไฟเมือง Zermatt มีป้ายต้อนรับเป็นภาษาไทยซะด้วย)







วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Postcard from Alaska: เดินทางพันไมล์เริ่มต้นที่แวนคูเว่อร์

หนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางส่วนใหญ่ใฝ่ฝันว่าจะต้องไปเที่ยวซักครั้งในชีวิตก็คืออะลาสก้า (Alaska) ดินแดนแห่งภูเขาและธารน้ำแข็ง เมื่อวีซ่าอเมริกาสิบปีใกล้จะหมดอายุ ผมเลยตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะต้องเดินทางตามใจฝันเสียที


หลังจากศึกษาข้อมูลการท่องเที่ยวอะลาสก้าพอสมควรแล้ว ผมตัดสินใจเลือกโหมดการเดินทางไฮโซอย่างการล่องเรือสำราญ ฤดูการล่องเรือสำราญเที่ยว Alaska จะเริ่มต้นปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนกันยายน เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศไม่หนาวเกินไปและธารน้ำแข็งในทะเลละลายพอที่จะเดินทางโดยเรือได้อย่างปลอดภัย

โปรแกรมล่องเรือที่ผมเลือกเป็นของบริษัท Royal Caribbean Cruise ซึ่งจะมีโปรแกรมหลากหลายให้เลือก ทั้งแบบไปแล้ววนกลับมาที่เมืองเดิม หรือแบบไปจากเมืองหนึ่งสิ้นสุดอีกเมือง ผมเลือกแบบไปไม่กลับ...เอ๊ย...ไม่วนกลับ โดยเดินทางจากเมืองแวนคูเว่อร์ (Vancouver) ประเทศแคนาดาไปสิ้นสุดที่เมืองซูเวิร์ด (Seward) ในอะลาสก้า เรือที่ผมเดินทางมีชื่อเก๋ไก๋ว่า Radiance of the Sea แปลเป็นไทยว่ารัศมีแสงแห่งทะเล


ทริปเริ่มต้นจากการไปขึ้นเรือที่ท่า Canada Place เมืองแวนคูเว่อร์ ซึ่งเป็นท่าเรือที่รองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ รูปร่างอาคารดูคล้ายเรือใบ


พอไปถึงที่ท่าเรือจะต้องผ่านกระบวนการตรวจคนเข้ามืองหรือตม.ของประเทศอเมริกาก่อน เนื่องจากการไปอะลาสก้าก็คือออกจากแคนาดาเข้าประเทศอเมริกา (ตม.ของอเมริกาจะมาตรวจประทับตราตั้งแต่ต้นทางเลย) หลังจากนั้นก็ไม่ต้องผ่านตม.ที่เมืองไหนๆอีกแล้ว


ตอนแรกคิดว่าตารางเวลาขึ้นเรือน่าจะสบายๆ เนื่องจากเปิดให้เริ่มเช็คอินตั้งแต่ 11 โมง ผมเลยไปถึงท่าเรือเกือบบ่ายโมง แต่เอาเข้าจริงกว่าจะผ่านตม.ได้กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงเนื่องจากคนแน่นมาก (ตอนหลังถึงรู้ว่ามีเรือสำราญอีกลำแต่คนละเจ้าที่ออกเดินทางพร้อมกัน) หลังจากผ่านตม.จึงเป็นกระบวนการเช็คอินขึ้นเรือ

เช็คอินเสร็จขึ้นเรือปุ๊บผมตรงรี่ไปที่ห้องพักทันที ของผมเลือกห้องแบบประหยัดจึงไม่มีหน้าต่างหรือระเบียงให้ชมวิว


รู้สึกห้องนี้จะโอ่โถงหน่อย ดูเหมือนจะเป็นห้องพักพิเศษสำหรับผู้พิการ


เรือรัศมีแสงเริ่มออกเดินทางตอนสี่โมงเย็น แต่ก่อนออกเดินทางกัปตันจะประกาศเรียกผู้โดยสารทุกคนไปซ้อมอพยพกรณีเหตุฉุกเฉินตามที่จุดกำหนดไว้

เรือค่อยๆแล่นออกห่างจากเมืองแวนคูเว่อร์ไปเรื่อยๆ


ผ่านสวน Stanley Park ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง ลอดใต้สะพาน Lion Gate Bridge


ภาพตึกระฟ้าของเมืองแวนคูเว่อร์เหมือนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่ยืนโบกมืออำลาส่งนักเดินทางไปอะลาสก้า ค่อยๆเล็กลงๆจนลับสายตาไป


เว็บไซด์ของ Royal Caribbean Cruise







About