วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Acrophillia: Tokyo SkyTree


Acrophillia สำหรับชมรมคนหลงไหลที่สูงกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้จะพาไปสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับทัศนาวิวเสียวๆแบบสูงๆอีกประเภทหนึ่งนอกเหนือจากตึกระฟ้า นั่นก็คือหอคอย (Tower)

ในสมัยโบราณหอคอยจะถูกสร้างไว้เพื่อตรวจตราดูความเรียบร้อยของเมืองและระวังภัยข้าศึกบุกโจมตี ยุคปัจจุบันหอคอยสูงส่วนมากสร้างไว้เพื่อส่งกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุโทรทัศน์ แต่แทนที่จะไว้ส่งสัญญาณอย่างเดียวหอคอยหลายๆที่จะสร้างจุดชมวิวเมืองไว้สำหรับนักท่องเที่ยวด้วย เรียกว่าทำประโยชน์ได้คุ้มค่าจริงๆ

ตามธรรมเนียมของ Acrophillia เมื่อเราเขียนถึงเรื่องอะไรครั้งแรก เราจะต้องให้เกียรติแชมป์กันก่อน เจ้าของตำแหน่งหอคอยที่สูงที่สุดในโลกปัจจุบันเป็นของหอคอย Tokyo SkyTree ที่กรุงโตเกียว แดนปลาดิบญี่ปุ่น


ก่อนที่จะสร้าง Tokyo SkyTree มหานครโตเกียวมีหอคอยส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์และชมวิวอยู่แล้วชื่อว่า Tokyo Tower สูง 333 เมตรเปิดทำการมายาวนานตั้งแต่ปี 1958 แต่เมื่อเวลาผ่านไปกรุงโตเกียวมีตึกระฟ้าสูงๆผุดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลายๆตึกก็สูงกว่า Tokyo Tower จึงบดบังทัศนวิสัยการส่งสัญญาณ ทางญี่ปุ่นจึงมีดำหริที่จะสร้างหอคอยใหม่ที่สูงกว่าเดิม เมื่อพิจารณาไว้เผื่อว่าตึกในอนาคตจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงสร้างหอคอยใหม่ให้มีความสูงมากขึ้นเป็นพิเศษทำให้กลายมาเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลก

หอคอย Tokyo SkyTree มีความสูงทั้งสิ้น 634 เมตร (เกือบสองเท่าของ Tokyo Tower) เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงในโลกเป็นอันดับสองรองจากตึก Burj Khalifa (ตึกที่สูงที่สุดในโลกที่ดูไบ) แต่เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลก (ชนะแชมป์เก่าเจ้าของความสูง  600 เมตรอย่าง Canton Tower ที่เมืองกวางโจว) เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2012


เอาละทำความรู้จัก Tokyo SkyTree มาพอสมควรแล้ว ถึงเวลาขึ้นไปชมวิวกัน ตึก Tokyo SkyTree มีชั้นชมวิวที่สองระดับ ที่ความสูง 350 เมตร เรียกว่า Tembo Deck และที่ความสูง 450 เมตร เรียกว่า Tembo Galleria


ที่เว็บไซด์ของ Tokyo SkyTree เปิดให้จองบัตรทางออนไลน์ได้แต่จำกัดเฉพาะผู้ที่ถือบัตรเครดิตที่ออกในญี่ปุ่นเท่านั้น นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่สามารถจองออนไลน์จะต้องไปซื้อตั๋วที่ชั้นล่างของหอคอยเอง


ระบบการเข้าคิวซื้อตั๋วที่นี่น่าสนใจดี ตอนที่ผมไปถึงประมาณเก้าโมงเช้า เค้าจะแจกบัตรคิวนัดเวลาซื้อตั๋วของเราให้ ซึ่งการเข้าแถวรับบัตรคิวตรงนี้ใช้เวลาไม่นาน อย่างของผมได้คิวซื้อตั๋วเวลา 11.00-11.30 หลังจากนั้นไม่ต้องยืนรอ สามารถไปโต๋เต๋ที่อื่นและกลับมาซื้อตั๋วตามเวลาที่นัดได้



แต่ถ้าใครขี้เกียจไปที่อื่นและกลับมาอีก ที่ใต้หอคอยจะมีแหล่งบันเทิงมากมายไว้ฆ่าเวลา ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ชื่อว่า Tokyo Solamachi ท้องฟ้าจำลอง อะควาเรี่ยม เอาแค่เดินดูร้านค้ายังไม่ทันทั่วก็ถึงเวลานัดแล้ว


พอถึงเวลานัดก็กลับมาที่จุดนัด (Gate B สำหรับคิวของผม) ตรงนี้จะเป็นการเข้าคิวซื้อตั๋วจริงๆแล้ว เนื่องจากมีการกระจายคิวกันไปทำให้รอในคิวไม่นานก็ได้ตั๋ว ตั๋วที่ซื้อที่ชั้นล่างนี้เป็นตั๋วขึ้นไปชั้น Tembo Deck อย่างเดียว ส่วนถ้าใครต้องการขึ้นไป Tembo Galleria จะต้องไปซื้อตั๋วเพิ่มที่ชั้น Tembo Deck เท่านั้น


Tembo Deck จะแบ่งซอยเป็นสามชั้นย่อยๆ




ที่ชั้นล่างสุดจะมีพื้นกระจกให้ยืนทดสอบความกล้า


วิวจาก Tembo Deck ทำให้มหานครโตเกียวเหมือนเป็นโมเดลเมืองจำลองขนาดจิ๋ว ตึกที่ว่าสูงๆใหญ่ๆดูคล้ายบล็อกตัวต่อไปเลย



ย่าน Asakusa จาก Tembo Deck


ตึก Tokyo Tower เห็นลิบๆ


ย่าน Odaiba สังเกตได้จากชิงช้าสวรรค์ไกลๆ


เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วขึ้นไป Tembo Galleria


ลิฟท์ขึ้นไป Galleria จะเป็นกระจกใสเพิ่มความหวิวขณะที่ลิฟท์กำลังวิ่งขึ้น


ผมชอบการออกแบบชั้น Tembo Galleria ให้บรรยากาศเหมือนห้องชมงานศิลปะจริงๆ โดยมีภาพวิวโตเกียวแขวนเรียงรายเหมือนงานศิลปะให้ทอดน่องชม



วิวโตเกียวแบบสูงขึ้นไปอีก



ลองมาดูแบบซูมๆ ตึก Asahi กับสัญลักษณ์ฟองเบียร์


วัด Asakusa ในดงป่าคอนกรีต (สังเกตจากเจดีย์)


หลังคาขาวๆไกลๆก็คือโตเกียวโดม


สำหรับผู้ที่ต้องการถ่ายภาพหอคอยแบบเต็มๆ ก็สามารถถ่ายได้จากด้านหน้าบริเวณที่เดินผ่านจากสถานีรถไฟฟ้า




หรือด้านหลังก็ได้ วิวนี้จะได้ตึกข้างๆมาฟิเจอริ่งด้วย แต่ถ้าถ่ายรูปในช่วงบ่ายจุดนี้จะย้อนแสง



ถ้าใครต้องการไปเที่ยว Tokyo SkyTree แนะนำว่าให้ไปแต่เช้าเพราะสายหน่อยอาจจะได้คิวซื้อตั๋วในตอนเย็น และควรเผื่อเวลาที่นี่ครึ่งวันเนื่องจากไม่สามารถมาถึงปุ๊บซื้อตั๋วปั๊บขึ้นไปแป๊บได้

การเดินทางไป Tokyo SkyTree
การเดินทางที่สะดวกที่สุดก็คือเริ่มต้นจากสถานีรถไฟใต้ดิน Asakusa เดินไปสถานีรถไฟฟ้าสาย Tobu SkyTree ซึ่งอยู่ติดกันนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานี Tokyo SkyTree ซึ่งเป็นสถานีถัดไป

เว็บไซด์ของ Tokyo SkyTree
http://www.tokyo-skytree.jp/en/


 

 




วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Postcard from Alaska: Mendenhall Glacier กาลครั้งหนึ่งบนธารน้ำแข็ง


หนึ่งในความใฝ่ฝันของผู้ที่เดินทางมาเยือนดินแดนอะลาสก้าก็คือการได้ยลทัศนียภาพธารน้ำแข็ง (glacier) ที่มักพบเห็นได้ในดินแดนใกล้ขั้วโลก ว่ากันว่าเฉพาะที่รัฐอะลาสก้าที่เดียวมีธารน้ำแข็งมากกว่า 600 แห่ง


วันที่สี่ของการเดินทางที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เรือ Radiance of the Sea ย่างกรายมาถึงเมืองหลวงของรัฐอะลาสก้าที่มีชื่อว่า Juneau (จูโน่) เรือจอดเทียบท่าตั้งแต่เวลาเจ็ดโมงเช้า


วันนี้ผมเตรียมแผนทัวร์ไว้แล้วว่าถึงเวลาที่จะไปเที่ยวธารน้ำแข็งเสียที เนื่องจากละแวกเมือง Juneau มีธารน้ำแข็งมากมายหลายที่ ผมจิ้มนิ้วเลือกทริปไปเที่ยว Mendenhall Glacier ธารน้ำแข็งชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากเมือง Juneau

หลังจากทำใจใคร่ครวญหลายรอบ ผมตัดสินใจทุบกระปุกออมสินทุ่มทุนเลือกทัวร์ไปธารน้ำแข็งโดยทางเฮลิคอปเตอร์ เพราะไม่ใช่แค่จะได้ชมวิวไกลๆเท่านั้นแต่โปรแกรมนี้เฮลิคอปเตอร์จะลงจอดบนธารน้ำแข็งและให้เวลาได้เดินเล่นบนนั้นด้วย ไหนๆก็มาถึงอะลาสก้าแล้วขอกลับไปคุยว่าชีวิตนี้เคยเหยียบธารน้ำแข็งมาแล้ว

โปรแกรมทัวร์มีชื่อทางการว่า Mendenhall Glacier by Helicopter & Guided Walk เป็นหนึ่งในโปรแกรมฮิตติดดาวของจูโน่ วันนึงจะมีทัวร์หลายรอบ ผมเลือกรอบสิบโมงเช้า เผื่อเวลาช่วงบ่ายไว้เดินสำรวจเมืองต่อ


กฎการขึ้นบินคร่าวๆก็คือไม่อนุญาตให้เอากระเป๋าสัมภาระอะไรติดตัวไปด้วย ยอมให้เอากล้องถ่ายรูปแขวนคอขึ้นไปได้อย่างเดียว ที่สนามบินสำหรับขึ้นฮ.จะมีล็อกเกอร์ให้ฝากสัมภาระได้ เค้าจะเตรียมรองเท้าเพื่อเดินบนธารน้ำแข็งไว้ให้ซึ่งเป็นรองเท้าแบบเกาะพื้นน้ำแข็งได้ดีกว่าปกติ ให้สวมทับรองเท้าที่เราใส่ไปเลย และผู้โดยสารทุกคนจะต้องคาดกระเป๋าบรรจุเสื้อชูชีพไว้ที่เอว

เฮลิคอปเตอร์เป็นแบบขนาดเล็กนั่งได้ 4 คนรวมคนขับ การขึ้นบินจะจำกัดน้ำหนักตัวผู้โดยสารแต่ละคนต้องไม่เกิน 250 ปอนด์ แต่ไม่ต้องกังวลถ้าคุณน้ำหนักเกินเค้าก็ให้คุณขึ้นบินได้แต่คุณต้องจ่ายตังค์เพิ่ม


Mendenhall Glacier จะอยู่ห่างจากเมือง Juneau ประมาณ 12 ไมล์เป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งที่สามารถเดินทางไปจุดชมวิวโดยทางรถยนต์ได้ (ธารน้ำแข็งส่วนใหญ่จะเข้าไปชมได้ต้องโดยสารทางเรือหรือทางเครื่องบินเท่านั้น)


ธารน้ำแข็งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการสะสมตัวโดยรวมตัวกันอย่างหนาแน่นและตกผลึกของหิมะซึ่งมักเกิดในบริเวณที่ลาดชันอย่างไหล่เขา  ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวมากอย่างบริเวณใกล้ขั้วโลกหิมะที่ตกสะสมในฤดูหนาวจะมีปริมาณมากกว่าที่ละลายไปในฤดูร้อนจีงสะสมเป็นผืนน้ำแข็งหนาบริเวณกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่มีน้ำหนักกดทับมหาศาลจะค่อยๆเคลื่อนตัวหรือไหลลงตามไหล่เขาอย่างช้าๆตลอดเวลา (วิชาการ)


วันที่มาถึง Juneau อากาศขมุกขมัวแต่หัววัน ขณะที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ก็มีฝนลงเม็ดปรอยๆ

 
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็บินมาถึง Mendenhall glacier เฮลิคอปเตอร์จะบินวนให้เก็บภาพจากมุมสูงก่อน




ที่ปลายด้านหนึ่งของธารน้ำแข็งเป็นทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง


วนสักพักเฮลิคอปเตอร์ก็ลงจอดบนลานธารน้ำแข็งที่กว้างใหญ่


บนธารน้ำแข็ง จะมีเจ้าหน้าที่ไกด์พาเดินไปตามจุดต่างๆและอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับธารน้ำแข็งให้ฟัง



โชคดีที่ตอนเดินทัวร์ไม่มีฝนตกลงมา แต่ฟ้าปิดไม่ค่อยมีแดด


ถึงแม้จะใส่รองเท้าพิเศษ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงพื้นผิวลื่นๆของน้ำแข็ง ต้องเดินช้าๆอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นอาจได้กลับไปคุยว่าลื่นล้มบนธารน้ำแข็งมาแล้ว



เราจะเห็นธารน้ำแข็งมีสีฟ้า ทั้งที่น้ำแข็งทั่วไปมีสีขาวใส ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเมื่อแสงตกกระทบผลึกน้ำแข็งของธารน้ำแข็งที่มีความหนาแน่นจะดูดซับสีอื่นหมดยกเว้นสีฟ้าที่จะสะท้อนออกมาทำให้เราเห็นธารน้ำแข็งเป็นสีฟ้า (ถ้าสะท้อนแสงครบทุกสีก็จะเห็นเป็นสีขาว)


ผู้ที่ตั้งใจจะมาทำน้ำแข็งไสกินที่นี่ก็ลืมไปได้เลย น้ำแข็งดูสกปรกเหมือนผ่านการเหยียบย่ำมานับไม่ถ้วน


บางช่วงของธารน้ำแข็งมีรอยแตกยาวลึก แอบภาวนาว่าอย่าเพิ่งมาแยกตัวหรือทรุดถล่มตอนนี้แล้วกัน




ฝุ่นดินนี่ไม่แน่ใจว่าคืออะไร ผมเดินมาไม่ทันฟังบรรยาย แต่เห็นนักท่องเที่ยวเอาฝุ่นมาทาหน้า สงสัยว่าคงมีสรรพคุณทางบำรุงผิวพรรณละมั้ง (แต่ผมไม่ลองเพราะไม่แน่ใจว่าก่อนจะมาถึงผิวหน้าเราได้ผ่านผิวรองเท้าใครต่อใครมาบ้าง)


บนธารน้ำแข็งจะมีเศษหิน ซึ่งเกิดจากธารน้ำแข็งเคลื่อนตัวเสียดสีกับไหล่เขาจนทำให้เกิดหินแตกหักหล่นมากองบนธารน้ำแข็ง 


โปรแกรมใช้เวลารวมประมาณสองชั่วโมงสิบห้านาที แต่เวลาเดินบนธารน้ำแข็งจริงๆประมาณแค่ 20-30 นาทีเท่านั้น



เจ้าหน้าที่ไกด์ยืนเรียงแถวโบกมือส่งเฮลิคอปเตอร์ที่บินกลับ

 

 
 
 
 


About