เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนก็จะได้เวลารูดม่านเปิดฉากหนึ่งในมหกรรมกีฬายิ่งใหญ่ระดับโลกรายการหนึ่ง
นั่นคือ การแข่งขันฟุตบอลโลก (FIFA
World Cup) ครั้งที่ 20 ที่ประเทศบราซิล
เพื่อเตรียมตัวต้อนรับการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง
ผมจะพาไปย้อนความทรงจำฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา จัดขึ้นเมื่อปี
2010 ที่ประเทศอัฟริกาใต้
(South Africa) โดยจะไปตระเวณชมบรรยากาศเกมการแข่งขันสามแมทซ์ที่เมืองหลวงโยฮันเนสเบิร์ก
(Johannesburg)
ที่เมืองโยฮันเนสเบิร์กมีสนามฟุตบอลที่ใช้จัดการแข่งขันสองสนาม สนามแรกชื่อว่า
Soccer City stadium ซึ่งใช้เป็นสังเวียนแมทซ์เปิดสนามและชิงชนะเลิศด้วย
แต่เกมที่ผมจะพาไปดูเป็นรอบ 16
ทีมสุดท้ายเป็นการแข่งขันระหว่างทีมชาติอาร์เจนติน่ากับเม็กซิโก
สนาม
Soccer City stadium ถ้ามองจากภายนอกรูปร่างจะคล้ายหม้ออัฟริกาที่เรียกว่า
calabash
เนื่องจากแมทซ์เตะตอนกลางคืนก็เลยไม่สามารถเห็นสีสันของตัวสเตเดี้ยมได้
ด้านในของสนามหม้อ
บรรยากาศอัฒจรรย์ก่อนเริ่มเกม
ในยุคนั้นทีมชาติอาร์เจนติน่าคุมทีมโดยสุดยอดตำนานนักเตะโลกผู้เป็นเจ้าของหัตถ์พระเจ้า
นั่นคือดีเอโก้ มาราโดน่า (Diego
Maradona) หรือที่แฟนบอลรู้จักในฉายาว่าเสือเตี้ย
นักเตะสำคัญของทั้งสองทีม
ลีโอเนล เมสซี่ (Lionel
Messi) จากอาร์เจนติน่ากับฮาเวียร์
เฮอร์นันเดซ ชิชาริโต้ (Javier
Hernandez, Chicharito) ของเม็กซิโก
เทพเมสซี่ตัวเป็นๆ
บรรยากาศการฟาดแข้ง
จบเกมอาร์เจนติน่าชนะไป
3 ประตูต่อ
1 เข้ารอบควอเตอร์ไฟนอลต่อไป
แมทซ์ที่สองไปที่อีกสนามหนึ่งในโยฮันเนสเบิร์ก
ชื่อว่า Ellis Park
stadium สนามนี้รูปร่างหน้าตาดีไซน์ปกติธรรมดา
ไม่มีจินตนาการว่าให้เหมือนอะไรเป็นพิเศษ
เกมที่เข้าไปดูการแข่งขันยังคงเป็นรอบ
16 ทีมสุดท้ายระหว่างทีมแซมบ้าบราซิล
เจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 พบกับทีมชิลีเพื่อนร่วมทวีป
ปกติก่อนการแข่งขัน
ด้านหน้าสนามจะจัดให้เป็นพื้นที่แฟนโซน มีกิจกรรมให้แฟนบอลร่วมสนุกก่อนเกม
กาก้า
(Kaka) และโรบินโญ่
(Robinho) ของบราซิล
บรรยากาศในเกม
จบเกมทีมเต็งบราซิลชนะไปสบายเท้า
3-0
แมทซ์สุดท้ายกลับไปที่สนาม
Soccer City stadium อีกครั้ง
แต่คราวนี้เป็นรอบควอเตอร์ไฟนอลหรือแปดทีมสุดท้าย ระหว่างทีมจอมโหดอุรุกวัยกับกาน่า
ม้ามืดจากกาฬทวีป
ต้องบอกว่าตลอดเวลาเก้าสิบนาทีเป็นเกมที่ค่อนข้างน่าเบื่อ
หมดเวลาปกติเวลาเสมอกัน 1-1
ต้องต่อเวลาพิเศษ
ผมไม่สามารถอยู่ต่อได้เนื่องจากนัดแท็กซี่มารับกลับโรงแรม
ไม่ได้เผื่อเวลาสำหรับช่วงต่อเวลาพิเศษด้วย แถมเกมในเวลาปกติก็จืดชืด ก็เลยตัดสินใจลุกออกจากสนามเพื่อกลับโรงแรมก่อนรู้ผู้ชนะ
แต่แล้วผมพลาดมหันต์
ช่วงที่เดินออกมาจากสนามแล้วได้ยินเสียงฮือฮาดังกระหึ่มจากในสนามไม่ขาดสาย
ก็เลยวิ่งไปดูจอโทรทัศน์ที่เค้าตั้งไว้รอบๆสนาม ก็เลยรู้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ทีมกาน่ายิงบอลกำลังจะเข้าประตู แต่โดนกองหน้าอุรุกวัยนามว่าหลุยส์
ซัวเรซใช้มือปัดออกจากเส้นประตู ทำให้ทีมอุรุกวัยเสียจุดโทษ แถมซัวเรซโดนใบแดงไล่ออก
ตอนนั้นคนดูคิดว่าจบแล้วอุรุกวัยตกรอบแน่โดนจุดโทษแถมเสียเปรียบตัวผู้เล่นน้อยกว่า
แต่ปรากฏว่ากาน่ากลับยิงลูกจุดโทษไม่เข้า หมดช่วงต่อเวลาพิเศษก็เลยยังเสมอกันอยู่ ต้องดวลลูกโทษตัดสินหาผู้ชนะ
อุรุกวัยกลับมาชนะไป 4-2 เป็นหนึ่งในแอนตี้ไคลแมกซ์ของทัวร์นาเม้นท์เลยทีเดียว
(ซึ่งผมได้พลาดโมเม้นท์นี้ไป)
ทิ้งท้ายความทรงจำด้วยสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของฟุตบอลโลกครั้งแรกบนแผ่นดินอัฟริกา
อย่างแรกก็คือเจ้าแตรวูวูเซล่า (vuvuzela)
ที่กองเชียร์หามาเป่าให้หนวกหูเล่น
(อันในภาพนี้ทำจำลอง ของจริงไม่ใหญ่เท่านี้)
คำฮิตติดหูช่วงบอลโลกปี
2010 อีกคำหนึ่งก็คือ
จาบูลานี่ (Jabulani) เป็นชื่อรุ่นลูกฟุตบอลอาดิดาสที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนั้น
ว่ากันว่าผลิตจากวัตถุที่มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ผู้รักษาประตูรับลูกยิงยากขึ้น
พอโกล์คนไหนเสียประตูก็โทษเจ้าจาบูลานี่ไว้ก่อน
อำลาด้วยมาสค็อตฟุตบอลโลก
2010 เจ้าเสือดาว
Zakumi ชื่อมีที่มาจากคำสองคำคือ
Za ที่เป็นอักษรย่อประเทศอัฟริกาใต้
กับคำว่า kumi ที่แปลว่า
10 ซึ่งเป็นเลขปีค.ศ.ที่จัดบอลโลก
เว็บไซด์ของ FIFA World Cup
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น