วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

FIFA World Cup 2010: South Africa


เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนก็จะได้เวลารูดม่านเปิดฉากหนึ่งในมหกรรมกีฬายิ่งใหญ่ระดับโลกรายการหนึ่ง นั่นคือ การแข่งขันฟุตบอลโลก (FIFA World Cup) ครั้งที่ 20 ที่ประเทศบราซิล

เพื่อเตรียมตัวต้อนรับการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง ผมจะพาไปย้อนความทรงจำฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา จัดขึ้นเมื่อปี 2010 ที่ประเทศอัฟริกาใต้ (South Africa) โดยจะไปตระเวณชมบรรยากาศเกมการแข่งขันสามแมทซ์ที่เมืองหลวงโยฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg)

ที่เมืองโยฮันเนสเบิร์กมีสนามฟุตบอลที่ใช้จัดการแข่งขันสองสนาม สนามแรกชื่อว่า Soccer City stadium ซึ่งใช้เป็นสังเวียนแมทซ์เปิดสนามและชิงชนะเลิศด้วย แต่เกมที่ผมจะพาไปดูเป็นรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นการแข่งขันระหว่างทีมชาติอาร์เจนติน่ากับเม็กซิโก


สนาม Soccer City stadium ถ้ามองจากภายนอกรูปร่างจะคล้ายหม้ออัฟริกาที่เรียกว่า calabash


เนื่องจากแมทซ์เตะตอนกลางคืนก็เลยไม่สามารถเห็นสีสันของตัวสเตเดี้ยมได้



ด้านในของสนามหม้อ


บรรยากาศอัฒจรรย์ก่อนเริ่มเกม


ในยุคนั้นทีมชาติอาร์เจนติน่าคุมทีมโดยสุดยอดตำนานนักเตะโลกผู้เป็นเจ้าของหัตถ์พระเจ้า นั่นคือดีเอโก้ มาราโดน่า (Diego Maradona) หรือที่แฟนบอลรู้จักในฉายาว่าเสือเตี้ย


นักเตะสำคัญของทั้งสองทีม ลีโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi) จากอาร์เจนติน่ากับฮาเวียร์ เฮอร์นันเดซ ชิชาริโต้ (Javier Hernandez, Chicharito) ของเม็กซิโก


เทพเมสซี่ตัวเป็นๆ


บรรยากาศการฟาดแข้ง





จบเกมอาร์เจนติน่าชนะไป 3 ประตูต่อ 1 เข้ารอบควอเตอร์ไฟนอลต่อไป


แมทซ์ที่สองไปที่อีกสนามหนึ่งในโยฮันเนสเบิร์ก ชื่อว่า Ellis Park stadium สนามนี้รูปร่างหน้าตาดีไซน์ปกติธรรมดา ไม่มีจินตนาการว่าให้เหมือนอะไรเป็นพิเศษ


เกมที่เข้าไปดูการแข่งขันยังคงเป็นรอบ 16 ทีมสุดท้ายระหว่างทีมแซมบ้าบราซิล เจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 พบกับทีมชิลีเพื่อนร่วมทวีป


ปกติก่อนการแข่งขัน ด้านหน้าสนามจะจัดให้เป็นพื้นที่แฟนโซน มีกิจกรรมให้แฟนบอลร่วมสนุกก่อนเกม


กาก้า (Kaka) และโรบินโญ่ (Robinho) ของบราซิล


บรรยากาศในเกม




จบเกมทีมเต็งบราซิลชนะไปสบายเท้า 3-0


แมทซ์สุดท้ายกลับไปที่สนาม Soccer City stadium อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นรอบควอเตอร์ไฟนอลหรือแปดทีมสุดท้าย ระหว่างทีมจอมโหดอุรุกวัยกับกาน่า ม้ามืดจากกาฬทวีป




ต้องบอกว่าตลอดเวลาเก้าสิบนาทีเป็นเกมที่ค่อนข้างน่าเบื่อ หมดเวลาปกติเวลาเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษ


ผมไม่สามารถอยู่ต่อได้เนื่องจากนัดแท็กซี่มารับกลับโรงแรม ไม่ได้เผื่อเวลาสำหรับช่วงต่อเวลาพิเศษด้วย แถมเกมในเวลาปกติก็จืดชืด ก็เลยตัดสินใจลุกออกจากสนามเพื่อกลับโรงแรมก่อนรู้ผู้ชนะ


แต่แล้วผมพลาดมหันต์ ช่วงที่เดินออกมาจากสนามแล้วได้ยินเสียงฮือฮาดังกระหึ่มจากในสนามไม่ขาดสาย ก็เลยวิ่งไปดูจอโทรทัศน์ที่เค้าตั้งไว้รอบๆสนาม ก็เลยรู้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทีมกาน่ายิงบอลกำลังจะเข้าประตู แต่โดนกองหน้าอุรุกวัยนามว่าหลุยส์ ซัวเรซใช้มือปัดออกจากเส้นประตู ทำให้ทีมอุรุกวัยเสียจุดโทษ แถมซัวเรซโดนใบแดงไล่ออก ตอนนั้นคนดูคิดว่าจบแล้วอุรุกวัยตกรอบแน่โดนจุดโทษแถมเสียเปรียบตัวผู้เล่นน้อยกว่า แต่ปรากฏว่ากาน่ากลับยิงลูกจุดโทษไม่เข้า หมดช่วงต่อเวลาพิเศษก็เลยยังเสมอกันอยู่ ต้องดวลลูกโทษตัดสินหาผู้ชนะ อุรุกวัยกลับมาชนะไป 4-2 เป็นหนึ่งในแอนตี้ไคลแมกซ์ของทัวร์นาเม้นท์เลยทีเดียว (ซึ่งผมได้พลาดโมเม้นท์นี้ไป)


ทิ้งท้ายความทรงจำด้วยสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของฟุตบอลโลกครั้งแรกบนแผ่นดินอัฟริกา อย่างแรกก็คือเจ้าแตรวูวูเซล่า (vuvuzela) ที่กองเชียร์หามาเป่าให้หนวกหูเล่น (อันในภาพนี้ทำจำลอง ของจริงไม่ใหญ่เท่านี้)


คำฮิตติดหูช่วงบอลโลกปี 2010 อีกคำหนึ่งก็คือ จาบูลานี่ (Jabulani) เป็นชื่อรุ่นลูกฟุตบอลอาดิดาสที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนั้น ว่ากันว่าผลิตจากวัตถุที่มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ผู้รักษาประตูรับลูกยิงยากขึ้น พอโกล์คนไหนเสียประตูก็โทษเจ้าจาบูลานี่ไว้ก่อน


อำลาด้วยมาสค็อตฟุตบอลโลก 2010 เจ้าเสือดาว Zakumi ชื่อมีที่มาจากคำสองคำคือ Za ที่เป็นอักษรย่อประเทศอัฟริกาใต้ กับคำว่า kumi ที่แปลว่า 10 ซึ่งเป็นเลขปีค.ศ.ที่จัดบอลโลก




เว็บไซด์ของ FIFA World Cup








วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นิราศ@โรแมนติก: เยือกเย็นและร้อนแรงบนยอดมหาวิหารฟลอเรนซ์



เรื่องราวนิราศโรแมนติกที่ผ่านๆมาจะพาไปตามรอยสถานที่ท่องเที่ยวที่ปรากฏในละครหรือภาพยนตร์รักโรแมนติกโดยตลอด แต่ครั้งนี้จะขอฉีกแนวไปตามสูดกลิ่นไอโรแมนติกจากหนังสือนวนิยายรักแทน เชื่อว่าถ้าเป็นคอนิยายแนวเลิฟโรแมนติกย่อมต้องรู้จักนิยายรักญี่ปุ่นที่เขียนออกมาเป็นหนังสือสองเล่มชื่อว่า Blu กับ Rosso แน่นอน  

หนังสือเรื่อง Blu (เยือกเย็น) เขียนโดยนักประพันธ์ชายชื่อท์ซึจิ ฮิโตนาริ ในขณะที่ Rosso (ร้อนแรง) เป็นผลงานของนักเขียนหญิงเอคุนิ คาโอริ ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของจุนเซนักศึกษาญี่ปุ่นที่มาร่ำเรียนศิลปะที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลีกับหญิงสาวนามว่าอาโออิ


จุนเซกับอาโออิให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่าในวันเกิดครบรอบอายุ 30 ปีของอาโออิ (ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พฤษภาคมปีค.ศ. 2000) ทั้งสองจะขึ้นมาฉลองกันบนยอดโดมมหาวิหารฟลอเรนซ์ (Florence Duomo) แต่แล้วทั้งคู่มีเหตุต้องเลิกรากันไปก่อนถึงวันนั้น

หนังสือเรื่อง Blu ถ่ายทอดเรื่องราวหลังเลิกรากันผ่านมุมมองอารมณ์ถวิลหาของจุนเซ ในขณะที่ Rosso เล่าเรื่องราวเดียวกันผ่านความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ของอาโออิ แล้วให้ลุ้นกันในตอนท้ายว่าทั้งสองจะกลับไปเจอกันบนยอดมหาวิหารฟลอเรนซ์เมื่อถึงวันที่ให้คำมั่นสัญญากันหรือไม่ เสน่ห์ของหนังสือที่ถูกกล่าวขานกันมากก็คือเทคนิคการเล่าเรื่องราวเดียวกันแต่ผ่านมุมมองตัวละครที่ต่างกัน

จริงๆแล้วหนังสือสองเล่มนี้เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นครั้งหนึ่งเมื่อปี 2001 ตั้งชื่อเป็นภาษาอิตาเลียนออกเสียงยากๆว่า Calmi Cuori Appassionati แปลเป็นไทยก็คือ “ระหว่างความเยือกเย็นและร้อนแรง” นำแสดงโดยยูทากะ ทาเคโนะอุจิและนักแสดงสาวฮ่องกงเฉินฮุ่ยหลิน (Kelly Chen)


เกริ่นมาซะขนาดนี้คงเดากันได้แล้วว่าผมจะพาไปเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งคำมั่นสัญญาระหว่างจุนเซกับอาโออิ นั่นก็คือยอดโดมมหาวิหารฟลอเรนซ์

มหาวิหารฟลอเรนซ์มีชื่อเป็นทางการว่า Basilica di Santa Maria del Fiore เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1296 เสร็จสิ้นเมื่อปี 1436 ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของเมือง ที่ฟลอเรนซ์จึงมีกฎหมายตราไว้ว่าห้ามสิ่งปลูกสร้างใดๆสร้างสูงกว่ายอดมหาวิหาร


ตัวมหาวิหารสร้างจากหินอ่อนสีขาว เขียวและชมพู 


ส่วนโดมเป็นผลงานของ Fillipo Brunelleschi


ปกติคนไปเที่ยวฟลอเรนซ์จะนิยมขึ้นไปชมวิวจากหอระฆัง (Campanile) ซึ่งสามารถยลความงามของยอดโดมได้ แต่ผมกลับพิสมัยปีนยอดโดมเพื่อสัมผัสกลิ่นอายโรแมนติกมากกว่า


การจะขึ้นยอดโดมจะต้องซื้อตั๋วเข้าชมมหาวิหารก่อน ซึ่งในตั๋วนี้สามารถเข้าชมส่วนต่างๆของมหาวิหารรวมทั้งยอดโดมได้



การขึ้นไปยอดโดมต้องผ่านบันได 463 ขั้น ไม่มีลิฟท์บริการ จะปีนขึ้นไปใช้ได้แค่สองเท้ากับใจมุ่งมั่นเท่านั้นบันไดช่วงแรกๆจะวนรอบโถงโบสถ์สามารถมองลงมาเห็นด้านล่างได้


แต่พอไต่สูงขึ้นไปถึงส่วนหลังคาโดมจะเป็นทางเดินผ่านกำแพงแคบๆ


มีช่องหน้าต่างเล็กๆเจาะให้มองชมวิวภายนอกได้เป็นระยะๆ


งานนี้เล่นเอาเหนื่อยหลายแฮ่กกว่าจะถึงยอด แต่พอเห็นวิวตระการตาแล้วทำเอาลืมเหนื่อยไปซักพัก




เมืองฟลอเรนซ์มุมสูงจากยอดโดม สามารถมองเห็นแลนด์มาร์คสำคัญๆของเมืองได้




บ้านเรือนในฟลอเรนซ์คุมโทนสีออกขาวเหลืองน้ำตาล หลังคาสีส้ม ทำให้ดูคลาสสิก



เงายอดโดมมหาวิหารทาบทับหลังคาบ้านเรือน


หอระฆังชูตระหง่าน



ปลายติ่งยอดโดมเมื่อแหงนมองจากจุดชมวิว


เดินเก็บภาพวิวซักพัก ก็สังเกตเห็นว่าเสาหินอ่อนรอบๆรกตาไปด้วยรอยปากกาขีดเขียนจารึกชื่อของผู้มาเยือน ถึงแม้มีป้ายห้ามติดหราก็ตาม


ไม่รู้ว่าเป็นอิทธิพลจากหนังสือ Blu Rosso รึเปล่า ส่วนมากจะเป็นจารึกชื่อจากคู่รัก เท่าที่เดินๆดูไม่เห็นลายมือภาษาไทย ก็ไม่รู้ว่าคนไทยมือไม่บอนหรือคนไทยไม่นิยมปีนขึ้นมาบนนี้กันแน่


ถึงแม้พื้นที่บนยอดโดมเล็กนิดเดียว ใช้เวลาแป๊บๆก็เดินวนได้ทุกตารางนิ้วแล้ว แต่อุตส่าห์ออกแรงปีนมาขนาดนี้ ไม่อยากรีบร้อนลงไป ก็เลยนึกสนุกลองมโนฉากบนยอดมหาวิหารจากหนังสือเล่นๆ (ตัวอย่างภาพจากภาพยนตร์)


อุปโลกน์กระทาชายนายหนึ่งที่ยืนเกะกะกล้องให้เป็นจุนเซที่ขึ้นมารออาโออิอย่างใจจดใจจ่อ



และแล้วในที่สุดอาโออิก็ปรากฏตัว (พร้อมแม่?)


ก่อนที่ทั้งสองจะลงจากยอดโดมไปด้วยกันอย่างมีความสุข


ระหว่างทางเดินลงก็เห็นว่ากำแพงทางเดินอุดมไปด้วยลายมือขีดเขียนของคนมือซนเช่นกัน



เว็บไซด์ของ Florence Duomo สามารถเช็คเวลาเปิดปิดของโดมและราคาตั๋วเข้าชมได้ที่นี่










About