วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

เฉิงเต๋อ: พระราชวังคิมหันต์ยามเหมันต์


เมื่อตรุษจีนมาถึงก็ได้เวลาที่จะกลับไปเที่ยวเมืองจีนกันอีกครั้ง ครั้งนี้เราจะไปกันที่เมืองเฉิงเต๋อ (承德, ภาษาอังกฤษเขียนว่า Chengde) มณฑลเหอเป่ย (河北) ห่างจากปักกิ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 230 กิโลเมตร

ชื่อบทความอาจฟังดูเลาๆนิยายกำลังภายในจีนไปหน่อย เด็กๆยุคใหม่คงไม่รู้ว่าคิมหันต์เหมันต์แปลว่าอะไร คิมหันต์ก็คือฤดูร้อน ส่วนเหมันต์คือฤดูหนาว ดังนั้นชื่อนี้จึงมีความหมายว่าจะพาไปเที่ยวพระราชวังฤดูร้อนในหน้าหนาวนั่นเอง แน่นอนที่สุดเรื่องผิดธรรมเนียมปฏิบัติแบบนี้มีแต่นักเดินทางตามใจฝันคนนี้ที่ทำ


พระราชวังฤดูร้อนแห่งเฉิงเต๋อ (避暑山庄) เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Chengde Mountain Resort บ้าง Chengde Imperial Summer Resort บ้าง เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1703 รัชสมัยฮ่องเต้คังซีแห่งราชวงศ์ชิง เพื่อใช้แปรพระราชฐานพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน

ได้รับการพิจารณาขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปีค.ศ. 1994


อาณาเขตพระราชวังกินพื้นที่ทั้งหมด 5.6 ตารางกิโลเมตร แต่ส่วนใหญ่เป็นสวนและภูเขา ส่วนที่เป็นพระราชวังอยู่ทางตอนใต้

ประตูทางเข้าทางทิศใต้ส่วนติดกับพระราชวัง



ตัวพระราชวังมีพระตำหนักไม่กี่หลัง


ท้องพระโรงสำหรับว่าราชการและพระราชพิธี


พระฉายาลักษณ์ของฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ดังๆที่ชอบเสด็จมาประทับที่นี่ ไล่จากบนลงล่าง ฮ่องเต้คังซี ฮ่องเต้เฉียนหลง และพระนางซูสีไทเฮา


พระราชวังนี้ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของจีนครั้งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้เสียนเฟิงแห่งราชวงศ์ชิงถูกบีบบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาปักกิ่งยกดินแดนส่วนหนึ่งให้ชาติยุโรปปกครอง ป้ายบอกเตือนคนจีนว่าอย่าได้ลืมความอัปยศระดับชาติครั้งนี้ (ฮ่องเต้เสียนเฟิงคือพระสวามีของพระนางซูสีไทเฮา)


ฮ่องเต้คังซีดำริให้สร้างพระราชวังในแบบแมนจู จะเห็นได้ว่าสไตล์ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่หรูหราอลังการเหมือนพระราชวังฤดูร้อนที่ปักกิ่ง


จุดเด่นของพระราชวังนี้น่าจะเป็นภูมิทัศน์ทะเลสาบ



รอบๆทะเลสาบจะมีสิ่งปลูกสร้างแบบจีนๆรายล้อม



มีทางเดินตัดกลางทะเลสาบ



ขณะที่ไปเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนยังไม่เริ่มหน้าหนาวอย่างเป็นทางการ แต่น้ำในทะเลสาบก็กลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว จึงถูกแปลงสภาพเป็นลานไอซ์สเก็ตซ์




ทัศนียภาพสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของพระราชวังนี้ก็คือทิวแถวศาลากลางทะเลสาบที่รายล้อมด้วยทุ่งดอกบัว (ที่หน้าหนาวเหลือแต่ตอแห้งๆ)



ใกล้ๆกับศาลากลางทะเลสาบจะมีสวนหย่อมเล็กๆที่ตกแต่งสไตล์สวนซูโจว





สามสิ่งที่พบเห็นได้ในสวนซูโจวคือ เก๋งศาลา สะพานและหิน




อีกหนึ่งจุดไฮไลท์สำคัญได้แก่ Jinshan Hill (แปลว่าภูเขาทอง)



การเดินทางจากปักกิ่งไปเฉิงเต๋อ
ผมจับรถไฟเที่ยวเช้าจากสถานีปักกิ่งไปเฉิงเต๋อใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง ถ้าคิดจะโดยสารรถไฟมีข้อแนะนำให้พกที่อุดหูไปด้วย เพราะในตู้โดยสารอุดมไปด้วยมลพิษทางเสียงจากชาวจีน

จริงๆแล้วศึกษาข้อมูลตามเว็บจะเห็นว่ามีรถบัสวิ่งบนทางไฮเวย์ตรงไปเฉิงเต๋อซึ่งใช้เวลาสั้นกว่ารถไฟประมาณชั่วโมงนึง แต่ตอนนั้นผมไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานที่ขึ้นรถบัส สุดท้ายเลยเลือกนั่งรถไฟชัวร์ๆดีกว่า

พระราชวังฤดูร้อนอยู่ในละแวกตัวเมือง ถ้าพักในย่านใจกลางเมืองอาจจะเดินไปได้ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที หรือนั่งแท็กซี่ไปไม่เกิน 10 นาที (แท็กซี่ที่นี่ติดมิเตอร์แล้ว)

เว็บไซด์ของพระราชวังฤดูร้อนเฉิงเต๋อ (เว็บเป็นภาษาจีน แต่มีลิ้งค์ไปหน้าเพจภาษาอังกฤษ)
http://www.bishushanzhuang.com.cn/webgroup/index.asp











วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

Desert Safari: สี่ล้อตะลุยทะเลทราย


ถ้าใครไปเที่ยวดูไบ (Dubai) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates) แต่ไม่ได้มีจิตพิศมัยสถาปัตยกรรมแนวตึกสูงที่สุดในโลก หรือไม่ได้หลงใหลการช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วละก้อ ผมขอแนะนำโปรแกรมทัวร์บรรยากาศแบบอาหรับในฝัน นั่นคือการตะลุยทะเลทราย (Desert Safari)


Desert Safari เป็นหนึ่งในโปรแกรมแลนด์ทัวร์ยอดนิยมของดูไบ ซึ่งจะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสบรรยากาศทะเลทรายโดยรถโฟร์วีล แน่นอนที่สุดว่าใครมาที่ตะวันออกกลางก็อยากกลับไปคุยว่าเห็นทะเลทรายเห็นอูฐมาแล้ว



โปรแกรมทัวร์จะเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนมืดค่ำ รถโฟร์วีลจะมารับจากโรงแรมในตัวเมืองดูไบ จากนั้นก็จะค่อยวิ่งออกไปชานเมืองเรื่อยๆจนเห็นทะเลทราย



ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปในทะเลทราย รถจะจอดเพื่อปล่อยลมยางให้อ่อนลงลดการสะเทือนขณะขับขี่ไปตามเนินทราย


ความสนุกสนานของ Desert Safari ก็คือเนินทรายลาดชันที่สูงๆต่ำๆ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะ (แต่ไม่ตีลังกา)


เนินบางเนินชันมากๆ ตอนไต่ขึ้นคนนั่งแทบจะหงายหลังเก้าสิบองศา แต่พอลงเนินก็หัวทิ่มแทบตั้งฉาก คนนั่งในรถก็จะร้องอู้อ้าเด้งไปเด้งมา (คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ก็ไม่ต้องห่วง)



ที่กลางทะเลทราย รถจะจอดให้นักท่องเที่ยวลงไปเดินสัมผัสเนินทราย





จากนั้นก็แวะที่ฟาร์มอูฐ



ก่อนจะมาปิดท้ายที่เบสแคมป์กลางทะเลทราย เพื่อซึมซับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน ทานดินเนอร์และดูโชว์



ที่เบสแคมป์นี้จะมีกิจกรรมการเล่นกระดานโต้ทราย (Sandboard) ไถลลงมาจากเนินทราย


แต่ถ้าใครไม่ชอบอะไรที่แอดเวนเจอร์เกินไปก็มีการเพ้นท์เฮนน่า และการทำขวดทรายสีที่ระลึก หรือใครอยากลองขี่อูฐตัวเป็นๆก็ได้ แต่ทุกกิจกรรมที่ว่ามานักท่องเที่ยวต้องเสียตังค์เพิ่ม



บรรยากาศพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า




หลังพระอาทิตย์ตกก็เป็นช่วงเวลาของดินเนอร์แบบบาร์บีคิว ว่าแบบซื่อๆอาหารจัดว่าพอทานได้(ถ้าหิวโซ่กๆ) ก่อนตบท้ายด้วยโชว์ระบำหน้าท้องจากสาวอาหรับพุงงาม










About