วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

Postcard from Alaska: White Pass รถไฟสายตื่นทอง



ภารกิจล่องอะลาสก้ากับเรือ Radiance of the Sea งวดเข้ามาทุกที วันที่หกของการเดินทางบนเรือรัศมีแสงแห่งทะเลมาถึงเมืองสุดท้ายที่จะแวะก่อนถึงจุดหมายปลายทาง นั่นคือเมือง Skagway (สแก๊กเวย์)

เมือง Skagway มีชื่อเสียงโด่งดังในหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาช่วงปี 1896-1899 ซึ่งมีเหตุการณ์ค้นพบทองคำที่เขต Yukon จังหวัด British Columbia ประเทศแคนาดา ทำให้เกิดกระแสตื่นทองในช่วงเวลาดังกล่าว เรียกว่า Klondike Gold Rush ซึ่งเขต Yukon นี้มีพรมแดนติดกับอะลาสก้าใกล้กับเมือง Skagway ทำให้บรรดานักแสวงโชคต่างหลั่งไหลกันเข้ามาพำนักที่เมืองนี้ ในช่วงเวลาตื่นทองเมืองเคยมีประชากรสูงสุดถึง 30,000 คน (ปัจจุบันมี 920 คน)

เส้นทางที่นักแสวงโชคนิยมใช้เดินทางไปเขต Yukon ตั้งต้นจากเมือง Skagway มีชื่อว่า White Pass trail (White Pass เป็นชื่อยอดเขาสูงสุดที่เป็นพรมแดนระหว่างรัฐ Alaska กับจังหวัด British Columbia ของแคนาดา)


ดั้งเดิมเลยคนที่จะเดินทางตามเส้นทางนี้จะต้องเดินเท้าขึ้นยอดเขาสูงประมาณ 2,900 ฟุตก่อนที่ล่องแพไปตามแม่น้ำ Yukon จากยอดเขาต่อไป ส่วนใหญ่นักแสวงโชคขุดทองมักจะนำม้าไปช่วยบรรทุกสัมภาระซึ่งม้าจะล้มตายระหว่างทาง บางทีจึงเรียกเส้นทางนี้ว่า Dead Horse trail


ต่อมาในปี 1898 จึงมีการสร้างทางรถไฟลัดเลาะขึ้นเขาตามเส้นทาง White Pass trail ภายหลังกระแสตื่นทองซาลง รถไฟก็ถูกใช้เพื่อการท่องเที่ยวแทน

 

เมื่อเรือจอดเทียบท่า Skagway ในตอนเช้า โปรแกรมทัวร์แรกก็เริ่มประมาณ 8.15 น. นั่นคือการนั่งรถไฟตามรอยเส้นทาง White Pass


สำหรับนักท่องเที่ยวที่มากับเรือสำราญ ราชรถ(ไฟ)มาเกยที่ท่าเทียบเรือเลย ลงเรือมาปุ๊บขึ้นรถไฟต่อได้ทันที


เส้นทางเริ่มจากวิ่งบนทางราบ ผ่านอู่ซ่อมบำรุง

 

จากนั้นก็ค่อยๆไต่ระดับ เลียบหน้าผาสูงชัน


ที่นี่เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ แต่เดิมอยู่บนยอด White Pass ที่เป็นพรมแดนจริงๆ แต่ที่นั่นอากาศหนาวเหน็บมาก จึงย้ายลงมาอยู่ระหว่างทางแทน


ตัวอักษร “ON TO ALASKA WITH BUCHANAN” นี่ก็มีที่มาจากช่วงราวปี 1923 มีชายชื่อ Buchanan จากเมือง Detroit จัดทริปผจญภัยพาเด็กชายหญิงมาเข้าแคมป์ที่นี่เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิต มีเด็กชายกลุ่มหนึ่งประทับใจมากจึงเพ้นท์ข้อความนี้บนหน้าผาเป็นอนุสรณ์รำลึก

นี่เป็นสุสานของคนงานก่อสร้างทางรถไฟที่โดนหินก้อนใหญ่ที่เกิดจากการระเบิดหน้าผาทับตาย เค้าไม่ได้ขุดย้ายหินเพื่อเอาศพไปฝังที่สุสาน แต่ปักป้ายสุสานไว้ที่นี่เลย


จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นท่าเรือได้


ระหว่างเส้นทางรถไฟก็มีวิวทิวทัศน์งดงามให้ถ่ายรูปได้ตลอด





สะพานรถไฟทำจากไม้ที่เคยใช้เป็นเส้นทางในอดีตแต่ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว



ป้ายปักบอกว่านี่เป็นเส้นทางที่ใช้เดินเท้าในปี 1898


และแล้วในที่สุดก็มาถึงยอด White Pass ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ที่นี่ยังปกคลุมด้วยหิมะ ทะเลสาบยังเป็นน้ำแข็งอยู่เลย



เนื่องจากยอดเขานี่อยู่ในเขตแดนของแคนาดาด้วยเช่นกัน ถ้าคนที่ไม่มีวีซ่าเข้าประเทศแคนาดาไม่สามารถลงไปเหยียบประเทศเค้าได้ ทัวร์จึงตัดปัญหาไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวทุกคนลงจากรถไฟ


ธงปักบอกดินแดน นอกจากธงชาติอเมริกาและแคนาดา ก็มีธงของรัฐอะลาสก้า ธงจังหวัด British Columbia และธงของเขต Yukon


หลังจากจอดพักแป๊บนึงให้ชื่นชมบรรยากาศเย็นๆบนยอดเขา รถไฟก็วิ่งย้อนเส้นทางเดิมกลับลงมาที่ท่าเรือ



หน้าผาที่ท่าเทียบเรือใกล้ๆกับบริเวณที่จอดรถไฟจะมีภาพเพ้นท์เป็นตราสัญลักษณ์เรือเดินสมุทรยี่ห้อต่างๆ มีที่มาจากราวปี 1928 ลูกเรือของเรือโดยสารลำหนึ่งที่มาจอดที่เมืองนี้มือบอนเพ้นท์ตราสัญลักษณ์เรือบนผนังหน้าผาเพื่อบอกว่าได้มาเยือนที่นี่แล้วนะ หลังจากนั้นลำต่อๆมากลัวน้อยหน้าจึงเพ้นท์ตาม จนกลายมาเป็นจิตรกรรมฝาผนัง(ผา)เช่นปัจจุบัน




เว็บไซด์ของรถไฟสาย White Pass & Yukon Route
http://www.wpyr.com/











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

About