วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เยือนถิ่นคัมป์นู

เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีสโมสรฟุตบอลชื่อดังจากสเปน บาร์เซโลน่า (FC Barcelona) ที่ได้รับการขนานนามในความเก่งกาจว่าทีมจากนอกโลกมาทัวร์เมืองไทยและเตะอุ่นเครื่องกับทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ ในเมื่อทีมบาร์เซโลน่ามาเยือนเราแล้วผมจึงถือโอกาสออกไปเยือนเค้ากลับบ้าง ไม่ใช่ในฐานะนักฟุตบอลแต่ในฐานะนักเดินทาง


สนามฟุตบอลของทีมบาร์เซโลน่ามีชื่อว่าสนามคัมป์นู (Camp Nou) อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองบาร์เซโลน่า เป็นสนามฟุตบอลที่มีขนาดใหญ่สามารถจุคนดูได้เฉียด 100,000 คน


เราจะเริ่มจากการไปทัวร์สนามกันก่อน สนามคัมป์นูเปิดให้นักท่องเที่ยวหรือบุคคลทั่วไปสามารถเข้าเยี่ยมชมสนามได้ โดยจัดเป็นโปรแกรมทัวร์สนามที่เรียกว่า Camp Nou Experience ทัวร์จะงดในวันที่มีเกมส์แข่งขัน


การทัวร์สนามคัมป์นูไม่มีไกด์ไม่ต้องไปเป็นหมู่คณะ สนามจะขึงเชือกกั้นกรวยไว้เป็นทาง นักท่องเที่ยวที่เข้าชมสนามเพียงเดินตามทางที่ลูกศรชี้นำก็พอ ทัวร์จะเริ่มต้นจากส่วนภายในสนามชั้นล่างก่อน

นี่เป็นห้องอาบน้ำบวกสปา มีอ่างจากุซชี่ตรงกลาง


ห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว


มีโบสถ์ให้สำหรับนักฟุตบอลหรือสตาฟโค้ชสวดขอพรก่อนเตะ


จากนั้นก็ผ่านอุโมงค์ทางเดินนักเตะลงสนาม


ถึงแม้สนามคัมป์นูมีขนาดใหญ่แต่มีอัฒจรรย์ที่มีหลังคาเพียงด้านเดียวเท่านั้น


มุมมองของนักฟุตบอลเมื่อมองขึ้นมาที่อัฒจรรย์คนดู


ซุ้มม้านั่งสตาฟโค้ชและตัวสำรอง


จากนั้นเส้นทางทัวร์ก็วนกลับขึ้นไปอัฒจรรย์ชั้นบน


บริเวณสำหรับนักบอลให้สัมภาษณ์สื่อ (มีป้ายสปอนเซ่อร์เป็นแบ็คกราวด์)


ป้ายจารึกทำเนียบชื่อประธานสโมสรบาร์เซโลน่าที่ผ่านๆมา


ห้องดูบอลสำหรับผู้สื่อข่าว


ส่งท้ายด้วยห้องเก็บถ้วยรางวัล ในปี 2010 ที่ผมไป บาร์เซโลน่าเพิ่งกวาดแชมป์ทุกรายการบนโลกที่เข้าแข่งขัน ตู้โชว์ก็เลยแออัดไปหน่อย


สุดท้ายผมมีภาพการแข่งขันฟุตบอลของทีมบาร์เซโลน่ามาฝาก เป็นเกมส์ลาลีก้าสเปนระหว่างบาร์เซโลน่าเจ้าบ้านกับทีมเตเนริเฟ่ ฤดูกาล 2009-2010 ภาพอาจจะเบลอไปหน่อยเพราะซูมถ่ายมาจากที่นั่งชนชั้นสูง(ม๊ากมาก)

วันที่แข่งมีฝนตก แฟนบอลฝั่งอัฒจรรย์ไม่มีหลังคาต้องทนนั่งเชียร์กลางสายฝน สำหรับตั๋วผมโชคดีเป็นที่นั่งฝั่งมีหลังคา


เริ่มวอร์มอัพร่างกาย (ดูออกหรือไม่ว่าใครเป็นใคร)


ถ่ายรูปทีม


บรรยากาศในเกมส์


ลีโอเนล เมสซี่และซลาตัน อิบบราฮิมโมวิช


เมสซี่กับชาบี เออร์นันเดซ


จบเกมส์บาร์เซโลน่าชนะไป 4-1 โดยท่านเทพเมสซี่กดไปสอง อีกสองประตูเป็นของเปโดร โรดิเกวซและโบยาน เคอร์คิซ


สำหรับแฟนราชันชุดขาวรีลมาดริดไม่ต้องน้อยใจ ไว้มีโอกาสผมจะเขียนรีวิวการชมฟุตบอลที่สนามซานติเอโก้ เบอร์นาบิวต่อไป

การซื้อตั๋วเข้าชมเกมส์การแข่งขันที่สนามคัมป์นู
สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถซื้อโดยตรงจากเว็บไซด์ของสโมสรได้ (แต่ตั๋วเกมส์ที่เจอกับทีมคู่ปรับเบอร์หนึ่งอย่างรีลมาดริดมักจะขายหมดอย่างรวดเร็ว) ลักษณะการซื้อตั๋วจากเว็บไซด์จะเป็นแบบ Will Call นั่นคือคนขายจะส่งอีเมล์คอนเฟิร์มการซื้อขายให้ ผู้ซื้อต้องนำอีเมล์พร้อมพาสปอร์ตและบัตรเครดิตที่ใช้ซื้อไปขอรับตั๋วที่หน้าสนามก่อนเกมส์เริ่ม

การเดินทางไปที่สนามคัมป์นู
สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย 3 (สีเขียว) ลงที่สถานี Palau Reial หรือสถานี Les Corts
หรือรถไฟใต้ดินสาย 5 (สีน้ำเงิน) ลงที่สถานี Collblanc หรือสถานี Badal
แต่ไม่ว่าลงที่สถานีไหนต้องเดินต่ออีกประมาณ 5-10 นาทีถึงจะถึงสนาม

ฟุตบอลสเปนส่วนมากจะเริ่มแข่งกันดึกเริ่มราวสองถึงสามทุ่มไปเลิกเอาสี่ห้าทุ่ม ถ้าไปดูบอลควรจะจดจำเส้นทางเดินกลับสถานีรถไฟฟ้าให้ดีเพราะบอลเลิกออกมาตอนมืดๆจะหาทางลำบากมากขึ้น อาจจะหลงทางได้ง่าย

เว็บไซด์สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่า (เป็นเว็บไซด์ที่ใช้ร่วมกับสโมสรบาสเก็ตบอลของเมืองบาร์เซโลน่า)







วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วัดพงอึนซา: ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าชื่อบท ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียน นี้ผมไม่ได้แต่งขึ้นเอง แต่หยิบยืมมาจากชื่อบทๆหนึ่งในหนังสือเรื่อง สองเงาในเกาหลี ของคุณทรงกลด บางยี่ขัน สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้ ถ้าบอกว่านี่คือหนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจของบทภาพยนตร์เรื่อง กวน มึน โฮคงร้องอ๋อกัน

ในหนังสือ สองเงาในเกาหลี บทดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดพงอึนซา กล่าวถึงช่วงที่ตัวเอกทั้งสองแวะเข้ามาไหว้พระหลบลมหนาวที่วัด


ขณะที่กำลังจะออกจากวัดก็ผ่านธูปเทียนที่ปักไหว้ไว้ ธูปไหม้เกือบหมดก้านแล้วแต่เทียนกลับมอดไปนิดเดียว จึงเปรียบเทียบว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วดังเช่นธูป ขณะที่ช่วงเวลาความทุกข์คืบคลานไปอย่างช้าๆเหมือนเทียน เป็นที่มาของวลีแสนคมกริบว่า ความสุขชั่วเวียนธูป ความทุกข์ชั่ววูบเทียนดังนั้นเมื่อตั้งใจจะเขียนเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยววัดพงอึนซา ผมจึงอดไม่ได้ที่ขอหยิบยืมวลีนี้มาใช้


วัดพงอึนซา (봉은사)   เป็นวัดที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมาก แต่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาถึง 1,200 กว่าปี อยู่ในย่านธุรกิจกังนัมทางตอนใต้ของโซล


ภายในวัดประดับประดาด้วยโคมกระดาษจำนวนมาก


สัญลักษณ์ของวัดพงอึนซาคือพระพุทธรูปหินอ่อนขนาดใหญ่ประทับยืนบนฐานดอกบัว ประดิษฐานอยู่ด้านในสุดของวัด


เนื่องจากวัดอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญ จึงไม่แปลกที่จะเห็นวิวตึกสูงอยู่รายรอบวัด


ใกล้ๆลานจอดรถของวัดมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม แต่หลายคนมักไม่ค่อยสังเกตุเห็น


ผมแนะนำให้ลองแวะร้านขายของที่ระลึกของวัด ที่นี่มีของฝากเก๋ๆที่ไม่ซ้ำร้านอื่นๆ ของบางชิ้นราคาถูกมาก เช่น โปสการ์ด 100 วอน (พระเจ้า...สามบาทเอง)

การเดินทางไปวัดพงอึนซา
รถไฟฟ้าสาย 2 (สีเขียว) ลงที่สถานี Samseong วัดจะอยู่ตรงข้ามศูนย์การค้า COEX Mall

เว็บไซด์ของวัดพงอึนซา







วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Postcard from Alaska: Inside Passage คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล

สุภาษิตไทยโบราณที่กล่าวไว้ว่า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล ใช้เตือนใจนักเดินเรือว่าทะเลมีภยันตรายใหญ่หลวงจึงไม่ควรประมาท แต่วลีนี้เหมาะสมที่จะยืมมาใช้บรรยายทัศนียภาพการล่องเรือสู่อลาสก้าวันที่สองได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าเส้นทางอันตรายผาดโผนแต่อย่างใด แต่ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางไหนซ้ายขวาหน้าหลังก็เห็นแต่ทะเลอย่างเดียว


วันที่สองบนเรือสำราญรัศมีแสงแห่งทะเล (Radiance of the Sea) ที่กำลังบ่ายหน้าสู่อะลาสก้า ตามกำหนดการวันนี้เรือไม่หยุดแวะจอดที่ไหน โดยจะแล่นผ่านเส้นทางที่เรียกว่า Inside Passage ซึ่งเป็นเส้นทางลัดเลาะชายฝั่งด้านมหาสมุทรแปซิฟิกของทวีปอเมริกา เสันทาง Inside Passage เริ่มต้นจากมลรัฐ Washington ประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านจังหวัด British Columbia ของแคนาดา (เมืองแวนคูเว่อร์อยู่ที่นี่) ยาวไปจนถึงมลรัฐอะลาสก้า ถึงแม้จะใช้คำว่าลัดเลาะ ในความเป็นจริงแล้วเรือวิ่งห่างจากชายฝั่งมากจนมองไม่เห็นขอบฝั่งแต่อย่างใด


แต่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าการใช้ชีวิตบนเรือกลางทะเลทั้งวันจะน่าเบื่อหน่าย ผมอยากมอบรางวัลให้กับคนที่ตั้งชื่อภาษาไทยให้แก่เรือโดยสารประเภทนี้ว่า เรือสำราญเพราะเป็นชื่อที่นิยามคุณสมบัติของเรือได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเรือพร้อมจะปรนเปรอความสำราญหลากหลายรูปแบบให้คุณเต็มที่

เริ่มจากอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์มีให้ทานได้ตลอดเวลาตั้งแต่หกโมงเช้าถึงตีหนึ่ง อย่างแย่ที่สุดก็มีขนมปังฮอทดอกให้รองท้อง

ถ้าคุณเป็นพวกชอบการออกกำลังกาย บนเรือจะมีสนามบาสเก็ตบอลขนาดย่อมที่สามารถปรับเป็นสนามบอลรูหนูได้ด้วย


สระว่ายน้ำทั้งของเด็กของผู้ใหญ่


สนามซ้อมพัทกอล์ฟ


หน้าผาจำลองสำหรับผู้ชอบความท้าทาย


แต่ถ้าคุณไม่อยากตากแดดตากลม(หนาว) เรือก็มีห้องฟิตเนสในร่มไว้ให้ออกกำลังกายเคล้าด้วยวิวงามๆ


แต่ถ้าคุณพิศมัยความสนุกแบบไม่เสียเหงื่อ ก็อาจเลือกไปห้องเกมส์เพื่อเล่นไพ่ โดมิโน หมากรุก ฯลฯ


แถมยังมีห้องตู้เกมส์ (ต้องเสียตังค์เล่น) แต่ทุกวันที่ผมแวะไปไม่เคยเจอใครเข้าไปเล่นเลย


ถ้าใครชอบความสนุกบนความเสี่ยง เรือก็มีคาสิโนไว้ให้ผู้ต้องการทดสอบโชคตัวเอง


บรรดาหนอนหนังสือสามารถไปหมกตัวที่ห้องสมุดได้ทั้งวัน


มีร้านค้าให้ช็อปอะฮอลิกจับจ่ายให้พอหายคันไม้คันมือ


โรงหนังขนาดย่อมๆฉายหนังที่เพิ่งออกโรงมาไม่เกินหกเดือน


มีโรงละครที่ทุกๆคืนก่อนหรือหลังอาหารเย็นจะมีรายการแสดงโชว์ดัง แต่ทุกวันจะเป็นโชว์ประเภทเดี่ยวไมโครโฟนหรือไม่ก็เกมส์โชว์อเมริกา ผู้ไม่สันทัดมุกขำขันอเมริกันอย่างผมเลยขอผ่าน


ผู้ต้องการความสุนทรีย์สามารถไปนั่งชิลล์ที่เปียโนเล้าจ์ได้


ตลอดทุกวันบนเรือจะมีตารางคลาสกิจกรรมให้ผู้โดยสารสามารถเข้าเรียนรู้ได้ เช่น สาธิตการใช้มีดอะลาสก้าแล่ปลาดิบ สอนพับผ้าขนหนูเป็นรูปสัตว์ สอนเต้นลีลาศ ฯลฯ

สำหรับโปรแกรมชีวิตที่ผมวางไว้ ช่วงเช้าผมเลือกไปเข้าฟังการบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับอะลาสก้าสองเรื่อง หัวข้อแรกเป็นเรื่องแนะนำของฝากจากอะลาสก้าที่ควรซื้อ ซึ่งจะให้ข้อมูลว่าในแต่ละเมืองที่จะแวะในวันต่อๆไปมีร้านค้าอะไรสินค้าอะไรที่น่าแวะไปเพื่อบรรเทาเงินในกระเป๋า ผู้บรรยายสาวมีวาทะศิลป์ที่ดีมาก พูดจนขนาดทำให้ผมชักอยากลองซื้อเพชรอะลาสก้าเป็นของฝากเลยทีเดียว


อีกช่วงหนึ่งเป็นการบรรยายโดยคู่สามีภรรยาผู้คร่ำหวอดกับการท่องเที่ยวอะลาสก้า มาร่วมแชร์ประสบการณ์ให้นักเดินทางมือใหม่ทราบว่าในแต่ละเมืองมีกิจกรรมอะไรที่น่าสนใจ สถานที่ไหนที่ควรไป

พอช่วงบ่ายหลังอาหารกลางวัน ผมตัดสินใจไปเพิ่มความตื่นเต้นให้ชีวิตนิดนึงกับเกมส์บิงโก ผู้เข้าร่วมวัดดวงจะต้องเสียตังค์ซื้อการ์ดบิงโก ซึ่งมีหลายระดับราคา ยิ่งแพงก็จะยิ่งได้การ์ดหลายใบต่อเกมส์โอกาสที่จะได้บิงโกก็สูงขึ้น ผมขอเลือกเป็นพวกลงทุนน้อย(แต่มักสูง) แน่นอนทีสุดเทพีแห่งโชคย่อมไม่เข้าข้างพวกขี้เหนียว (ไม่ได้แม้แต่ลุ้น)


ส่งท้ายการเดินทางวันที่สองด้วยภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าสุดปลายทะเลที่ Inside Passage





  



About