วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

Acrophilia: Burj Khalifa

ปกติเรามักจะคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษคำว่า Acrophobia ที่หมายถึงอาการกลัวที่สูง ซึ่งมีที่มาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า akron แปลว่าที่สูงและ phobos ที่แปลว่ากลัว แต่คำ Acrophilia ที่พาดหัวไม่ค่อยมีคนใช้ เป็นมิติตรงข้ามกับ acrophobia หรือเรียกง่ายๆว่าอาการชอบที่สูงนั่นเอง

ปกติผมจะเป็นคนชอบเล่นของสูง ขนาดป่วยไม่สบายก็ต้องเป็นโรคความดันสูง หรือไม่ก็ไขมันในเลือดสูง ไม่เว้นแม้แต่เวลาท่องเที่ยว หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือที่ชมวิวสูงๆ เรียกว่าถ้าเมืองไหนที่ไปเที่ยวมีตึกหรือหอคอยสูงก็ต้องถ่อปีนขี้นไปชมวิว เหตุผลของความหลงไหลความสูงก็คือผมรู้สึกว่าการชมวิวจากที่สูงทำให้เราสามารถเห็นเมืองทั้งเมืองได้คราวเดียวภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ต้องเสียเวลาตะลอนไปตามตรอกซอกซอย

สำหรับสถานที่แรกที่จะแนะนำเพื่อบำบัดอาการ acrophilia ก็คือตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก ณ เวลานี้ นั่นคือตึก Burj Khalifa (برج خليفة) ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คนที่เคยดูหนังเรื่อง Mission Impossible - Ghost Protocol (2011) คงจำฉากสุดเสียวที่ทอม ครุยส์ปีนตึกกระจกได้ นั่นคือตึก Burj Khalifa เองครับ


ตึก Burj Khalifa เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2004 เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2010 มีความสูงวัดถึงปลายยอดแหลมเปี๊ยว 829.8 เมตร ทิ้งขาดแชมป์เก่าอย่างไทเป 101 แบบไม่ถนอมน้ำใจถึง 300 กว่าเมตร ตึก Burj Khalifa มีทั้งสิ้น 163 ชั้น ประกอบไปด้วยที่พักอาศัย ออฟฟิศสำนักงานและโรงแรมหรู


จุดชมวิวของตึกตั้งชื่อว่า At the Top อยู่ที่ชั้น 124 ที่ระดับความสูง 452.1 เมตร (สูงเป็นอันดับสามรองจากตึก Shanghai World Financial Center และหอคอย Canton Tower)

การจะขึ้นไปชมวิวที่ตึก Burj Khalifa ไม่ใช่ว่าจะเดินดุ่ยๆไปซื้อตั๋วขึ้นไปได้ทันที เพราะตั๋วในแต่ละวันจะถูกจองล่วงหน้าจนเต็ม อย่างตอนที่ผมไปเมื่อปี 2011 ตั๋วเต็มยาวไปอีกสองวัน เร็วสุดที่ได้เป็นรอบกลางคืนอีกสองวันถัดไป ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ผมอยู่ดูไบ ก็เลยไม่มีทางเลือกถึงแม้ใจจริงอยากขึ้นตอนบ่ายหรือเย็นมากกว่า ขอแนะนำผู้สนใจให้ซื้อตั๋วทางเน็ทล่วงหน้าดีกว่า จริงๆแล้วเค้ามีบริการซื้อตั๋วปุ๊บขึ้นได้ปั๊บสำหรับคนใจร้อนแต่ราคาตั๋วจะแพงกว่าถึง 3-4 เท่า เรียกว่าเห็นราคาแล้วใจเย็นขึ้นมาทันที (รอดีกว่า)


ตึก Burj Khalifa อยู่ติดกับ Dubai Mall ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคาน์เตอร์ขายตั๋วชมวิวอยู่ที่ชั้น LG ของห้าง


จุดที่ถ่ายรูปตึกได้ดีก็คือริมสระน้ำด้านนอกห้าง


หลังจากรอมาสองวันสุดท้ายก็ได้ขึ้นไปชมวิว ระหว่างรอลิฟท์ที่ล็อบบี้ก็มีวีดีโอสารคดีการก่อสร้างตึกให้ชม


ทิ้งท้ายด้วยวิวเมืองดูไบยามรัตติกาล ความมืดทำให้ไม่เห็นทัศนียภาพฝั่งทะเลทรายได้ เนื่องจากไม่มีแสงไฟ ก็เลยมีแต่วิวฝั่งเมืองให้ชม ภาพแสงไฟเมืองดูไบยามค่ำคืนก็สวยดีเหมือนกัน


หลังคา Dubai mall


ตึกใกล้ๆดูเตี้ยไปถนัดตา



การเดินทางไปตึก Burj Khalifa
สามารถนั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงไปลงที่สถานี Burj Khalifa/Dubai mall ได้

ข้อมูลเกี่ยวกับตึก Burj Khalifa รวมทั้งการซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ทสามารถเข้าไปดูได้ที่
http://www.burjkhalifa.ae/en/





วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

โอ้บร๊ะ....ลิคเท่นสไตน์

โปรดอย่าเข้าใจผิดนี่ไม่ใช่การแปลงเพลงกังนัมสไตล์ของไซแต่อย่างใด แต่เป็นการแนะนำการท่องเที่ยวประเทศเล็กๆที่น่าสนใจที่ชื่อว่าลิคเท่นสไตน์ (Liechtenstein) พูดปุ๊บหลายคนรีบเปิดกูเกิ้ลเพื่อเสิร์ซดูทันทีว่าเจ้าประเทศนี้อยู่แห่งหนตำบลใด ไม่ต้องเสียเวลาครับ เรามาทำความรู้จักลิคเท่นสไตน์กันเลย


ประเทศลิคเท่นสไตน์อยู่ในทวีปยุโรปมีพรมแดนด้านตะวันตกติดกับสวิสเซอร์แลนด์ และตะวันออกติดกับออสเตรีย ผมเคยได้ยินชื่อลิคเท่นสไตน์มาบ้างเวลาติดตามการแข่งขันฟุตบอลยุโรป แต่มาสนใจเป็นพิเศษก็ตอนที่กำลังวางแผนจัดโปรแกรมเที่ยวสวิสเมื่อปี 2011 ในหนังสือ Lonely Planet ของประเทศสวิสบรรจุข้อมูลของลิคเท่นสไตน์อยู่ท้ายๆเล่ม ผ่านตาแว่บแรกก็ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษจนกระทั่งได้อ่านข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แสนอัศจรรย์ของเจ้าประเทศเล็กๆนี้ ก็ดึงดูดให้อยากรู้ว่าบ้านเมืองเขาจะหน้าตาเป็นอย่างไรกันหนอ

ในวงการฟุตบอล ทีมชาติลิคเท่นสไตน์ได้รับการขนานนามว่าเป็นสมันน้อยแห่งยุโรป เรียกว่าแข่งกับใครก็แจกประตูเป็นกระบุง ทีมชาติเค้าเคยมีโค้ชชื่อว่า Ralf Loose ซึ่งออกเสียงตามภาษาเยอรมันจะพ้องกับภาษาอังกฤษว่า loser ซึ่งแปลว่าขี้แพ้

เมืองหลวงของลิคเท่นสไตน์ชื่อว่า Vaduz การเดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ไปเมือง Vaduz ทำได้โดยนั่งรถบัสจากสถานีรถไฟเมือง Buchs ลงที่ป้าย Vaduz Post ใช้เวลาประมาณ 15 นาที หรือถ้านั่งรถบัสจากสถานีรถไฟเมือง Sargans ก็จะใช้เวลาครึ่งชั่วโมง


การเดินทางมาเที่ยวจากสวิสไม่ต้องใช้วีซ่าอะไรเพิ่มเติม ไม่ต้องผ่านตม. แถมใช้เงินฟรังก์สวิสได้ปกติ

ลิคเท่นสไตน์มีประชากรประมาณ 35,000 คน แต่มีบริษัทที่จดทะบียนที่ประเทศนี้กว่า 70,000 บริษัท คิดแบบขำๆ คนลิคเท่นสไตน์หนึ่งคนเป็นเจ้าของบริษัทถึงสองบริษัท

บรรยากาศใจกลางเมือง Vaduz ดูโล่งๆไม่แออัดเหมือนเมืองหลวงทั่วไป


ชื่อประเทศลิคเท่นสไตน์ตั้งตามเจ้าชายลิคเท่นสไตน์แห่งออสเตรียที่กว้านซื้อที่ดินละแวกนี้แล้วสถาปนาขึ้นเป็นประเทศ ปัจจุบันราชวงศ์ลิคเท่นสไตน์เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมากกว่าราชวงศ์ประเทศอื่นๆในยุโรปแม้แต่ราชวงศ์อังกฤษ

ปราสาท Vaduz ซึ่งเป็นที่ประทับของราชวงศ์ลิคเท่นสไตน์ตั้งตระหง่านอยู่บนเขา


ลิคเท่นสไตน์ยกเลิกระบบกำลังพลกองทัพไปนานแล้ว ได้ส่งทหารไปร่วมภารกิจรบครั้งสุดท้ายในปีค.ศ. 1866 ซึ่งในครั้งนั้นส่งทหารไป 80 นายรอดชีวิตกลับมา 81 นาย

กิจกรรมแนะนำที่ Vaduz
1 ย่านใจกลางเมืองเป็นแหล่งชุมนุมของพิพิธภัณฑ์ขนาดกะทัดรัด ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลิคเท่นสไตน์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะวิจิตรศิลป์ พิพิธภัณฑ์ไปรษณียากร เป็นต้น เหมาะแก่การเดินเล่นฆ่าเวลา


2 เอาพาสปอร์ตไปประทับตราว่าเคยไปเหยียบลิคเท่นสไตน์มาแล้วในชีวิต (แต่เสียตังค์ค่าประทับด้วยนะ)


3 ส่งโปสการ์ดหาเพื่อนให้ฉงนว่าลิคเท่นสไตน์อยู่ที่มุมไหนบนโลก

ท่านทราบหรือไม่ว่า.....ลิคเท่นสไตน์เป็นประเทศผู้ผลิตฟันปลอมรายใหญ่ที่สุดในโลก

เว็บไซด์การท่องเที่ยวลิคเท่นสไตน์





วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ซากุระบานที่คุมาโมะโตะ

ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายนถือว่าเป็นฤดูไฮซีซั่นสำหรับการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากเป็นหน้าดอกซากุระผลิบาน คนญี่ปุ่นเรียกช่วงเวลานี้ว่าเทศกาลฮะนะมิซึ่งจะชักชวนกันออกไปฉลองอย่างมีความสุขเคล้าคลอบรรยากาศดอกไม้บาน เพื่อต้อนรับเทศกาลฮะนะมิของปี 2013 ที่กำลังจะมาถึง ผมขอพาย้อนอดีตไปกับทริปชมซากุระที่เมืองคุมาโมะโตะเกาะคิวชูเมื่อสองปีก่อน

สถานที่ชมวิวซากุระขึ้นหน้าขึ้นตาของเมืองคุมาโมะโตะก็คือบริเวณปราสาทคุมาโมะโตะ (熊本城) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในร้อยจุดชมซากุระที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยวิวพุ่มซากุระสีขาวอมชมพูเรื่อๆตัดกับภาพปราสาททรงโบราณ


ภาพซากุระรอบกำแพงปราสาทดูสวยงามแบบคลาสสิก



ถนนรอบๆปราสาทก็เรียงรายไปด้วยต้นซากุระตลอดสองข้างทาง




เดินๆเจอสาวชุดกิโมโนมาถ่ายแฟชั่น ก็ฉวยโอกาสมั่วนิ่มแชะภาพเค้ามาประกอบฉากดอกไม้งามซะเลย



การเดินทางไปปราสาทคุมาโมะโตะ
จากป้ายรถเมล์หน้าสถานีรถไฟคุมาโมะโตะจะมีรถบัสวิ่งวนระหว่างปราสาทและสถานีรถไฟทุกครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ให้สังเกตุข้างรถบัสจะติดสติ๊กเกอร์รูปปราสาท

ช่วงเวลาการชมซากุระที่ญี่ปุ่น
โดยทั่วไปดอกซากุระจะบานในช่วงอากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงจากหนาวเป็นอบอุ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ในความเป็นจริงซากุระไม่ได้บานพรึ่บพร้อมกันทั้งเกาะญี่ปุ่น แต่จะค่อยๆบานจากภูมิภาคทางใต้ไล่ขึ้นไปทางเหนือ และจะบานอยู่ได้ประมาณสองอาทิตย์ก่อนจะร่วง


ที่เกาะโอกินาวาที่อยู่ใต้สุด ดอกซากุระจะบานเร็วที่สุดตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ ไล่มาที่เกาะคิวชูช่วงปลายเดือนมีนาคม ต้นเดือนเมษายนสำหรับภูมิภาคช่วงกลางเกาะฮอนชู (เช่นเมืองเกียวโต โอซาก้า นาโกย่า โตเกียว เป็นต้น) ต่อมาที่ครึ่งหลังเดือนเมษายนสำหรับภูมิภาคโทโฮะกุทางเหนือของเกาะฮอนชู (เช่นเมืองเซ็นได อาโอโมริ เป็นต้น) ไปสิ้นสุดที่ต้นเดือนพฤษภาคมสำหรับเกาะฮอกไกโดที่อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น





วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

กินนำสไตล์: Modern Toilet Restaurant

คอลัมน์กินนำสไตล์นี้จะเล่าเรื่องราวประสบการณ์การแสวงหาอาหารการกินแนวเก๋ไก๋นำสไตล์ในต่างประเทศ ขอย้ำว่าร้านหรืออาหารที่แนะนำเน้นที่สไตล์เป็นหลักไม่ใช่รสชาตินะครับ สำหรับประสบการณ์แรกผมจะพาไปร้านอาหารคอนเซปต์แปลกๆที่ไต้หวัน คนไต้หวันมีรสนิยมเห่อร้านอาหารประเภท theme restaurant ที่ตกแต่งในคอนเซปต์แปลกประหลาด เช่น ร้านอาหารที่ตกแต่งเหมือนอยู่ในโรงพยาบาล ร้านอาหารคอนเซ็ปต์เหมือนนั่งอยู่ในเครื่องบินของสายการบิน เป็นต้น

แต่วันนี้ผมจะแนะนำร้านอาหารที่ถือว่าเป็นหนึ่งใน theme restaurant ที่ได้รับนิยมอย่างมากในไต้หวัน นั่นคือร้าน Modern Toilet Restaurant (便所主題餐廳) ร้านที่ตกแต่งในสไตล์ให้ความรู้สึกเหมือนทานข้าวอยู่ในห้องส้วม ถ้าตั้งชื่อเป็นภาษาไทยให้เล่นๆก็คงเรียกว่าร้านสุขาหาร (มาจากสุขา+อาหาร)


Modern Toilet Restaurant เปิดครั้งแรกเมื่อปี 2004 สาขาที่ผมไปอยู่ที่ย่านถนนคนเดินซีเหมินติง (西門町) ในไทเปซึ่งเป็นเหมือนย่านสยามบ้านเรา หน้าร้านสังเกตุเห็นได้ง่ายเนื่องจากมีโถชักโครกลอยเด่นเป็นสง่า

เข้าไปด้านในก็จะพบกับน้องอุนจี้มาสค็อตประจำร้านยืนรับแขก


 ร้านตกแต่งเฟอร์นิเจอร์โดยใช้อ่างอาบน้ำมาปูกระจกทำเป็นโต๊ะ ส่วนเก้าอี้นั่งก็คือโถชักโครก


ช่วงนั่งรออาหาร สังเกตุเห็นลูกค้าคนก่อนๆมือซนเอาซองตะเกียบมาเขียนชื่อแล้วเสียบช่องใส่ลงไปในอ่างโต๊ะ เห็นแล้วคันมือจนอดทำตามไม่ได้ แต่กลัวคนไต้หวันจะอ่านภาษาไทยไม่ออก ก็เลยลงนามเป็นภาษาจีนซะหน่อย


เมนูยอดนิยมของร้านก็คือสุกี้ไต้หวันที่เสิร์ฟมาในภาชนะรูปทรงชักโครกชวนให้น่าทานมากขึ้น


เครื่องดื่มที่เข้ากับเซ็ตอาหารที่สุดก็คือน้ำเก็กฮวยสีเหลืองอ๋อย ถ้าสั่งแก้วพิเศษก็จะเสิร์ฟมาในภาชนะทรงโถฉี่ผู้ชายหรือไม่ก็กระบอกคอมฟอร์ตร้อย

ทานจนแน่นท้องเลยต้องขอไปเข้าห้องน้ำซะหน่อย อันนี้เป็นห้องน้ำจริงๆของร้าน อย่าเผลอไปตักอะไรในโถส้วมมาทานหละ


 กลับมาล้างปากด้วยไอติมช็อคโกแลต"ชิต"ในคอห่านตบท้าย


ที่ร้านมีขายภาชนะเผื่อลูกค้าติดใจอยากซื้อเอาไปใส่ข้าวกินที่บ้าน


ตอนที่ผมไปในปี 2009 ร้าน Modern Toilet Restaurant นี้กำลังได้รับความนิยมสูงสุด จนเปิดขยายสาขาเกือบสิบแห่งทั่วไต้หวัน รวมถึงสาขาต่างประเทศในฮ่องกงด้วย แต่ที่เช็คจากเว็บไซด์ของร้านล่าสุดรู้สึกจะเหลือแค่สามสาขาในไต้หวันเท่านั้นรวมถึงสาขาซีเหมินติงที่ผมเคยไป

การเดินทางไปซีเหมินติง
สามารถเดินทางไปถนนคนเดินซีเหมินติงด้วยรถไฟฟ้าไทเปสายสีน้ำเงินลงที่สถานีซีเหมิน

สนใจรายละเอียดของร้านเข้าไปดูได้ที่เว็บไซด์ข้างล่างนี้





About