วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

ขนมฝากจากโตเกียว

สมัยก่อนเวลาใครที่ออฟฟิศไปญี่ปุ่นแล้วซื้อขนมมาฝาก เรามักจะมีมุกอำขำๆว่า พอวางถุงปุ๊บคนรุมแย่งเอากล่องเอาแพ็กเกจจิ้งไปแล้วปล่อยขนมทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี เป็นการปรามาสว่าขนมฝากจากญี่ปุ่นสวยแต่รูปลักษณ์ภายนอกแต่รสชาติไม่เอาไหน เพื่อพิสูจน์ทัศนคติดังกล่าว เมื่อไปโตเกียวครั้งล่าสุดผมจึงหอบหิ้วขนมจากโตเกียวมาจำนวนหนึ่งเพื่อทดลองชิมแล้ววิจารณ์ดูว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอมจริงหรือไม่

ขนมที่จะนำมารีวิวคราวนี้ผมรวบรวมมาจากหนังสือท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นหลายๆเล่มที่วางขายในไทยบวกกับการเสิร์ซค้นทางอินเตอร์เน็ท แต่เนื่องจากผมเป็นคนมีข้อจำกัดในการกินอยู่บ้าง จึงขอให้คุณน้องมาเป็นแขกรับเชิญบล็อกผมทำหน้าที่ชิมและให้ทัศนะแทน งานนี้เรียกว่าคุณพี่ช็อปคุณน้องชิม

1.     Tokyo Banana รสช็อคโกแลต (東京ばな奈ツリー チョコバナナ味)
ร้าน Tokyo Banana Tree ที่ Tokyo Solamachi (ห้างสรรพสินค้าใต้หอคอย Tokyo SkyTree)


ปกตินักเที่ยวญี่ปุ่นรู้จัก Tokyo Banana กันดี เพราะเป็นหนึ่งในของฝากขึ้นหน้าขี้นตา แต่ที่ร้าน Tokyo Banana Tree นี้เค้าทำกล้วยรุ่นลิมิตเต็ดอิดิชั่นออกมา เรียกว่ากล้วยลายเสือดาว ข้างในสอดไส้ช็อคโกแลต มีวางขายที่ร้านที่ Tokyo SkyTree เท่านั้น

ร้าน Tokyo Banana Tree อยู่ที่ชั้นหนึ่งฝั่งตะวันตกของห้าง Tokyo Solamachi ถ้านั่งรถไฟฟ้าสาย Tobu SkyTree จากสถานีอาซากุสะลงที่สถานี Tokyo SkyTree ร้านอยู่ที่ตรงปากทางออกสถานี

เว็บไซด์ของบริษัทผลิตขนม


2.    ถั่วกับเค้กชาเขียวปิดทองคำเปลว
ร้าน Mameya Kanazawa Bankyu (まめや金澤萬久) ที่ Tokyo Solamachi
ร้านอยู่ที่ชั้นสี่ฝั่งตะวันออก เป็นเคาน์เตอร์อยู่รวมกับร้านขนมอื่นๆอีก 4-5 ร้าน


มีขนมสองชิ้น ถั่วบรรจุในกล่องลวดลายสวยงาม ที่ซื้อมามีรสสาหร่าย รสช็อคโกแลตและรสชาเขียว ส่วนเค้กชาเขียวปิดทองคำเปลวก็ถือว่าเป็นของฝากมงคลอย่างหนึ่ง

เว็บไซด์ของร้าน



3.     Oppai Pudding (おっぱいプリン)
ร้านขายของฝากย่านอะกิฮาบาระ

พุดดิ้งหน่มน้มหรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า Oppai Pudding (ซึ่งคำแรกหมายถึงเต้านม) ความพิเศษของขนมนี้อยู่ที่ไอเดียกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ทะเล้นนิดๆทะลึ่งหน่อยๆให้อดอมยิ้มไม่ได้


ความจริงแล้วพุดดิ้งหน่มน้มนี้มีวางขายหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น (แม้แต่สนามบินนาริตะ) แต่เวอร์ชั่นอะกิฮาบาระจะเป็นรูปการ์ตูนสาวโมเอะ ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์หนึ่งของย่านนี้นี่เอง

การเดินทางไปย่านอะกิฮาบาระ
รถไฟวนลูปสายยามาโนเตะจอดที่สถานีอะกิฮาบาระ



4.     Raisin Wich (元祖 レイズン・ウィッチ)
ร้าน Ogawaken (小川軒) ย่านชิมบาชิ

เป็นขนมปังแครกเกอร์สองชิ้นประกบไส้ครีมกับลูกเกดตรงกลาง


ร้านอยู่ที่ชั้นหนึ่งตึก SHIMBASHI EKIMAE-BILU ICHI-GOU KAN สามารถเดินทางไปด้วยรถไฟวนลูปสายยามาโนเตะลงที่สถานี JR Shimbashi ทางออก Shiodome

เว็บไซด์ของร้าน





5.    เซ็ปปุขุโมนากะ (切腹最中)
ร้าน Shinshodoh (新正堂) ย่านชิมบาชิ

อีกหนึ่งขนมฝากจากย่านชิมบาชิ ก็คือ เซ็ปปุขุโมนากะหรือขนมคว้านท้องจากร้านชินโชโด


ที่มาของชื่อขนมแปลกประหลาดก็คือ มีบทประพันธ์เก่าแก่ญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งกล่าวถึงสถานที่บริเวณข้างร้านที่ตัวละครหนึ่งใช้เป็นที่ทำฮาราคิรี (คว้านท้อง) คนญี่ปุ่นนิยมซื้อขนมชนิดนี้ไปให้แก่บุคคลที่ต้องการขอโทษหรือรู้สึกสำนึกผิด

จากสถานี JR Shimbashi ออกที่ทางออก Karasumori เดินไปประมาณสิบนาที แนะนำให้ปรึกษาแผนที่ละเอียดๆอย่าง Google Map เรื่องทิศทางการเดินไปร้าน แผนที่คร่าวๆที่โพสต์ที่เว็บของร้านไม่ค่อยช่วยผู้ที่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออกเท่าไหร่

เว็บไซด์ของร้าน



6.     An Paste (あんペースト)
ร้าน TORAYA Café ย่านฮาราจูกุ
ร้านอยู่ที่ชั้น B1 ห้าง Omotesando Hills


เป็นที่ทาหน้าขนมปัง ขวดหนึ่งรสงาขาวผสมผงถั่วเหลือง อีกขวดรสชาเชียวผสมไวท์ช็อคโกแลต

เว็บไซด์ของร้าน



7.    เยลลี่ผลไม้ (果実ピュアゼリー)
ร้าน Shinjuku Takano (新宿高野) ย่านชินจูกุ


จริงๆแล้วร้านนี้มีชื่อเสียงเรื่องผลไม้สด แต่ก็มีสินค้าแปรรูปจากผลไม้อย่างแยม ทอฟฟี่ หรือเยลลี่ขายด้วยเช่นกัน

บรรจุภัณฑ์เก๋ไก๋มากทำเป็นรูปร่างผลไม้ ตามรสของเยลลี่ อาทิเช่น แตงโม แคนตาลูป มะม่วง ลูกพีซ เป็นต้น

การเดินทางไปร้าน
จากสถานนี JR Shinjuku ทางออกตะวันออก เดินไม่ถึงห้านาที

เว็บไซด์ของร้าน




8.    ช็อคโกแลตคาเวียร์ (キャビア)
ร้าน Theobroma ย่านอิเคะบุคุโระ


เป็นช็อคโกแลตที่ทำรูปทรงกลมเม็ดเล็กๆคล้ายไข่ปลาคาเวียร์

ร้านอยู่ที่ชั้น B1 ห้าง Tobu ออกจากสถานี Ikebukuro ทางออกตะวันตก

เว็บไซด์ของร้าน



9.     Almond Tuile (アーモンドチュイル)
ร้านเบเกอรี่ Takase (タカセ) ย่านอิเคะบุตุโระ


ที่เรียกว่า Tuile เพราะขนมรูปร่างคล้ายกระเบื้องปูหลังคา (ภาษาฝรั่งเศสคือคำว่า Tuile)

จากทางออกตะวันออกของสถานี JR Ikebukuro ร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้าง Seibu

เว็บไซด์ของร้าน










วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

Great Ocean Road

ความจริงประเทศออสเตรเลียเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม เพียงแต่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเหล่านั้นอยู่กระจัดกระจายกันไปตามเมืองเล็กๆ ทำให้การท่องเที่ยวต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรการเงินมากหน่อย ทัวร์ออสเตรเลียส่วนใหญ่จึงมักตะลอนไปเที่ยวเฉพาะเมืองใหญ่ๆเท่านั้น ครั้งนี้จะขอเขียนเล่าเรื่องการเดินทางในออสเตรเลียเพื่อชมมหัศจรรย์ความงามที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติแห่งหนึ่ง นั่นก็คือเส้นทาง Great Ocean Road

Great Ocean Road อยู่ในรัฐ Victoria เป็นถนนยาว 243 กิโลเมตรลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย เริ่มต้นที่เมือง Torquay สิ้นสุดที่เมือง Warrnambool แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะเริ่มต้นการเดินทางจากเมืองเมลเบิร์น (Melbourne) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด


วามสวยงามของ Great Ocean Road นอกจากทัศนียภาพถนนเลาะเลียบชายฝั่งแล้ว ก็คงเป็นความตระการตาของแท่งหินขนาดใหญ่รูปทรงประหลาดตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ฝั่งซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเส้นทางสายนี้ รูปทรงของแท่งหินเหล่านี้เกิดจากการกัดกร่อนของกระแสลมและกระแสน้ำตามธรรมชาติ

การเดินทางที่เหมาะที่สุดสำหรับเส้นทาง Great Ocean Road ก็คือเช่ารถขับไปเอง เพราะสามารถจอดแวะชมวิวถ่ายรูปที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าไม่อยากขับรถเองก็ขอแนะนำให้ซื้อ land tour เหมือนผม ทัวร์ Great Ocean Road จะเริ่มต้นจากเมืองเมลเบิร์น รวมทั้งทริปกินเวลาสิบกว่าชั่วโมงขึ้นไป

เมื่อขึ้นรถทัวร์แล้วแนะนำให้นั่งฝั่งซ้ายของรถ เพราะจะสามารถชมวิวทะเลผ่านหน้าต่างได้โดยตรง แต่ถ้าเผลอนั่งฝั่งขวาก็จะต้องส่องวิวผ่านหัวคนแทน (ดังเช่นรูป)


โปรแกรมทัวร์จะแวะจอดที่หาด Bells Beach เป็นจุดแรก หาดนี้มีชื่อเสียงเรื่องการเล่นเสิร์ฟ


ระหว่างรถแล่นเลาะเลี้ยวตามเส้นทาง จะสามารถชื่นชมภาพวิวทะเลได้ตลอดเวลา


ใกล้ๆเที่ยงก็จะแวะอีกจุดที่ Cape Patton Lookout ให้ถ่ายรูป จากนั้นก็แวะทานอาหารเที่ยงที่ Apollo Bay


ไฮไลท์ของทัวร์อยู่หลังอาหารกลางวัน เริ่มจากหิน 12 นักบุญ (The Twelve Apostles) ซึ่งเป็นดงแท่งหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านในทะเลไม่ไกลจากชายฝั่ง


จริงๆแล้วแต่เดิมมีแท่งหินจำนวน 9 แท่งเรียกว่าหินนักบุญ (The Apostles) แต่คนนิยมเรียกให้เก๋ไก๋ว่าหินสิบสองนักบุญ (หมายถึงสาวกทั้งสิบสองของพระเยซู) แต่ปัจจุบันนับยังไงก็ไม่ถึงเก้า เพราะแท่งหินแท่งหนึ่งได้พังลงไปในปี 2005

ที่จุดชมวิวจะเห็นกองแท่งหินแยกเป็นสองฝั่ง ฝั่งขวามีอยู่ 5-6 แท่ง ฝั่งซ้ายมีอยู่ 2 แท่ง


ที่นี่ลมแรงมากจริงๆ จนน่าจะเรียกว่าพายุมากกว่า คิดเล่นๆว่าถ้าผมกระโดดลอยขึ้นไปในอากาศ เชื่อว่าลมน่าจะพัดมวลกายน้ำหนักร้อยกว่าโลนี้ให้ปลิวได้เลย

รถแล่นต่อจากหิน 12 นักบุญ มาที่ Loch Ard Gorge ชื่อ Loch Ard มาจากชื่อเรือสำเภาอังกฤษที่เคยมาจมแถวนี้ ลักษณะหินเหมือนหน้าผาสองฝั่งบีบเป็นช่องแคบ


ที่ Loch Ard Gorge นี้มีหินที่เรียกว่า Island Archway ที่เป็นแท่งหินรูปร่างคล้ายประตูโค้ง


ผมไปที่ Great Ocean Road ตอนต้นปี 2009 พอกลางปีหิน Island Archway ช่วงตรงกลางพังลง จนปัจจุบันกลายเป็นแท่งหินสองก้อนไม่เชื่อมต่อกัน หินสองก้อนนี้ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า Tom กับ Eva ซึ่งเป็นชื่อของผู้โดยสารเรือ Loch Ard ที่รอดชีวิตเพียงสองคน


สิ้นสุดเส้นทาง Great Ocean Road ที่หิน London Arch ที่อยู่ไม่ไกลจาก Loch Ard Gorge


แต่เดิมเรียกว่า London Bridge เนื่องจากเป็นหินที่ยื่นต่อจากฝั่งมองแล้วรูปร่างคล้ายสะพานลอนดอน จนเมื่อปี 1990 หินช่วงเชื่อมต่อกับฝั่งพังลง ส่วนที่เหลือมีรูปร่างเป็นประตูโค้งลอยโดดๆกลางทะเล จึงเปลี่ยนมาเรียกว่า London Arch แทน


จะเห็นได้ว่ามหัศจรรย์ของเส้นทาง Great Ocean Road เกิดจากการสร้างสรรโดยธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็กำลังจะเลือนหายไปตามกาลเวลาเพราะธรรมชาติเช่นเดียวกัน

เว็บไซด์ข้อมูลการท่องเที่ยวเส้นทาง Great Ocean Road







วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

นิราศ@โรแมนติก: นัดพบข้ามเวลาที่เกาะอูโด้

กลับมาสู่การเดินทางแบบโหมดโรแมนติ๊กโรแมนติกกันอีกครั้ง คราวที่แล้วหลอกให้ไปตามรอยซีรี่ย์เกาหลีตามสุสานฝังศพไปแล้ว คราวนี้ขอแก้ตัวพาไปตามรอยโรแมนติกเกาหลีของจริงเสียที


ละครหรือหนังโรแมนติกเกาหลีเริ่มโด่งดังในไทยช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 ผมเลือกไปย้อนรอยหนึ่งในภาพยนตร์โรแมนติกเกาหลีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงยุคบุกเบิก นั่นก็คือเรื่อง Il Mare (ออกเสียงตามภาษาอิตาลีว่า อิลมาเร่) ออกฉายเมื่อปี 2000 นำแสดงโดยพระเอกอีจองแจ และนางเอกยัยตัวร้ายจอนจีฮยอน ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า ลิขิตรักข้ามเวลาหนังประสบความสำเร็จจนขนาดบริษัท Warner Brothers ซื้อลิขสิทธิ์ไปรีเมกเป็นเวอร์ชั่นฮอลลีวู้ดในชื่อว่า The Lake Houseฉายเมื่อปี 2006 นำแสดงโดยดาราดังอย่างคีอานู รีฟส์และซานดร้า บูลล็อก


หนังบอกเล่าเรื่องรักปาฏิหารย์ข้ามเวลาเมื่อหญิงสาวที่อาศัยอยู่ที่บ้านริมทะเลชื่อ Il Mare ณ ปี 2000 เกิดอยู่ๆสามารถติดต่อทางจดหมายกับชายหนุ่มในปี 1998 ที่อาศัยอยู่ที่เดียวกัน ผ่านทางตู้ไปรษณีย์ของบ้านได้

โลเกชั่นอันดับหนึ่งของหนังก็คือตัวบ้าน Il Mare แต่ผมไม่ได้จะพาไปที่นั่นหรอกครับ แต่จะเป็นหนึ่งในฉากที่ผมประทับใจก็คือการนัดพบระหว่างพระเอกและนางเอกที่อยู่คนละช่วงเวลา โดยนัดเจอกันในวันรุ่งขึ้นของเวลานางเอกซึ่งหมายถึงอีกสองปีของพระเอก


ฉากในหนังถ่ายทอดภาพนางเอกไปรอพระเอกที่ชายหาดแห่งหนึ่งที่เกาะบ้านเกิด ในฉากจะเห็นหาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเลสองสี ใกล้หาดน้ำจะเป็นสีฟ้าใสถัดออกไปหน่อยเป็นสีน้ำเงินเข้ม


ตอนที่ดูหนังก็แอบสงสัยว่าทำไมน้ำทะเลถึงแยกเป็นสองสีชัดเจนขนาดนี้ ก็เลยพยายามไปสืบเสาะดูว่าสถานที่นี้อยู่ที่ใด และในที่สุดก็ได้มีโอกาสไปเยือนด้วยตัวเองเมื่อปี 2011

ชายหาดที่ปรากฏในฉากนี้เรียกว่า หาดทรายปะการัง (서빈백사) อยู่ที่เกาะอูโด้ (우도해양도립공원) เป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะเชจู


ชื่ออูโด้แปลว่าวัว มีที่มาจากรูปร่างของเกาะ ถ้ามองจากยอดเขาซงซานอิลชูบงที่เชจูจะเห็นเกาะอูโด้รูปร่างคล้ายวัวหมอบ


ที่เรียกว่าหาดทรายปะการังเพราะทรายที่หาดนี้เกิดจากปะการังที่ตายแล้ว ทรายจึงค่อนข้างหยาบคล้ายกรวดและมีความขาวมากทำให้น้ำทะเลสะท้อนสีท้องฟ้าใสได้


ส่วนน้ำทะเลที่เป็นสีน้ำเงินเข้มเกิดจากหินลาวาสีดำที่อยู่ใต้น้ำ เนื่องจากเกาะในละแวกนี้แต่เดิมเป็นภูเขาไฟ เมื่อปะทุแล้วลาวาเย็นตัวลงจะจับตัวเป็นก้อนหินสีดำมะเมื่อมตามหาดหรือพื้นใต้ทะเล


ภาพชายหาดเหมือนกับที่เห็นในหนังเปี๊ยบ แต่อารมณ์โรแมนติกไม่ได้มู้ดเลยเพราะมีนักท่องเที่ยวยั้วเยี้ยไปหมด แถมบางคนยังอุตริถอดเสื้อลงไปเล่นน้ำอีก (ที่เสียอารมณ์เพราะคนถอดดันเป็นผู้ชายนี่สิ)


การเดินทางไปเกาะอูโด้
เริ่มจากเกาะเชจู มีเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือซงซานทางทิศตะวันออกของเกาะเชจูไปยังเกาะอูโด้ เรือข้ามฟากเป็นเรือบรรทุกได้ทั้งรถยนต์และผู้โดยสาร ท่าเรือซงซานมีภาษาอังกฤษค่อนข้างจำกัดจำเขี่ย แต่ถ้าใช้กฎ(ตาม)คนหมู่มากก็น่าจะได้ตั๋วไม่ยาก

ตารางเดินเรือเฟอร์รี่ไปเกาะอูโด้สามารถตรวจสอบได้ที่


การเดินทางสัญจรบนเกาะอูโด้
หลังจากขึ้นจากเรือแล้วที่ท่าเรือเกาะอูโด้จะมีรถบัสทัวร์บริการวิ่งตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเกาะ (รวมทั้งหาดทรายปะการัง)  เป็นรูปแบบ Hop-on Hop-off ซะด้วย สามารถลงไปใช้เวลาแวะเที่ยวแต่ละจุดและรอขึ้นรถในรอบถัดๆไปได้ แนะนำให้เช็ครอบกับคนขับให้ดีจะได้จัดสรรเวลากลับไปที่ท่าเรือได้ทัน

ขอปิดท้ายด้วย sound track เพลง Must Say Goodbyeเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่ประกอบฉากการนัดพบข้ามเวลาในหนัง

Release me, I know the only way
To reach me, that is the way that it should be
So free me from all your memories
I know we must say goodbye
We must say goodbye…






About