วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Uluru: มหัศจรรย์หินเปลี่ยนสี

Uluru (อ่านออกเสียงว่าอูลูรู) เป็นก้อนหินศักสิทธิ์ของชาวอะบอริจิ้น มีขนาดใหญ่มหึมาด้วยเส้นรอบวงยาว 9.4 กิโลเมตร สูงประมาณ 350 เมตร (เป็นภูเขาขนาดย่อมๆได้เลย) ชื่อ Uluru เป็นภาษาอะบอริจิ้น ในขณะที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษอีกชื่อหนึ่งว่า Ayers Rock ตั้งอยู่ที่เมือง Ayers Rock ชื่อเดียวกับหิน ทางตอนใต้ของรัฐ Northern Territory ประเทศออสเตรเลีย



ก้อนหิน Uluru นี้มีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติก็คือสามารถเปลี่ยนสีได้ตามแสงที่ตกกระทบ ในหนึ่งวันก้อนหินจะเปลี่ยนสีไปตามช่วงเวลาต่างๆ เช่น ช่วงเช้าแดดอ่อนๆหินจะออกโทนสีม่วง พอช่วงเที่ยงถึงบ่ายแดดจัดจะเปลี่ยนเป็นเหลืองส้ม หลังพระอาทิตย์ตกจะเป็นสีน้ำตาลแดงจนถึงน้ำตาลเข้ม ภาพที่ผมเคยเห็นจากโปสการ์ดท่องเที่ยว ปรากฏการณ์สีแปลกที่สุดที่เป็นไปได้ก็คือสีขาวอมเทาซึ่งจะเกิดตอนฝนตก ละอองน้ำฝนที่เกาะผิวก้อนหินจะสะท้อนแสงทำให้เห็นเป็นสีขาวเทา แต่เป็นภาพที่เห็นได้ไม่ง่ายเนื่องจาก Uluru อยู่ในเขตทะเลทรายซึ่งโอกาสฝนตกน้อยมาก
(ภาพจากโปสการ์ด)
การเดินทางไปเที่ยวที่ Uluru
ไม่มีไฟล์ทบินตรงจากกรุงเทพฯไปที่เมือง Ayers Rock ต้องบินไปลงที่ซิดนีย์แล้วต่อเครื่องอีกประมาณ 3 ชั่วโมงเศษๆ เมื่อถึงสนามบิน Ayers Rock แล้วจะมีรถบัสฟรีบริการไปส่งยังที่พักในย่านรีสอร์ท

ที่พักใน Ayers Rock
ที่พักที่ Ayers Rock จะอยู่กระจุกตัวกันที่ย่านรีสอร์ทห่างจากสนามบินประมาณ 6 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็นโรงแรมและอะพาร์ทเมนท์มีระดับ 3 แห่งได้แก่ โรงแรม Sails in the Desert (ระดับห้าดาว) โรงแรม Desert Garden (ระดับสี่ดาวครึ่ง) และ Emu Walk Apartment (ระดับสี่ดาว) ซึ่งสามแห่งนี้จะเรียงรายอยู่ทางตอนบนของย่านรีสอร์ท ส่วนทางตอนล่างจะเป็นที่พักทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่งบจำกัดก็จะมี Outback Pioneer Hotel & Lodge ที่มีให้เลือกทั้งโรงแรมระดับสามดาวครึ่งกับห้องพักแบบพักรวมระดับสองดาว และ Campground สำหรับกางเต้นท์นอนหรือขับรถแค้มปิ้งไปจอดพักได้
(แผนที่รีสอร์ทจากเว็บไซด์ www.ayersrockresort.com.au)

สำหรับผู้สนใจข้อมูลที่พักเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.ayersrockresort.com.au/

กิจกรรมที่ Ayers Rock
การท่องเที่ยวที่เมือง Ayers Rock มีกิจกรรมเกี่ยวกับหิน Uluru ให้เลือกทำมากมาย ผู้ที่สนใจสามารถเลือกซื้อ land tour ได้ ผมขอแนะนำกิจกรรมที่เคยลองมากับตัวแล้ว

กิจกรรมที่ 1 Sound of Silence Dinner
เป็นดินเนอร์กลางทะเลทราย โปรแกรมทัวร์จะเริ่มจากการชมหิน Uluru ยามพระอาทิตย์ตก


จากนั้นก็พาไปจุดตั้งแคมป์ดินเนอร์กลางทะเลทราย ดินเนอร์จะเป็นบุฟเฟ่ต์บาร์บีคิวเนื้อสัตว์ยอดนิยมของออสเตรเลีย  อาทิเช่น จิงโจ้ จระเข้ แกะ เป็นต้น

หลังดินเนอร์ก็เป็นไฮไลท์ของโปรแกรม ที่แคมป์จะดับไฟทั้งหมด จนบรรยากาศมืดมิดและเงียบสนิท ช่วงเวลาที่อยู่ในความมืดและเงียบสงบกลับให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกปลอดโปร่ง ทำให้เข้าใจว่าทำไมเค้าถึงเรียกว่า Sound of Silence

หลังจากปล่อยให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศรัตติกาลที่เงียบสงัดครู่หนึ่ง ก็เป็นช่วงเวลาดูดาว เนื่องจาก Ayers Rock เป็นมืองชนบทห่างไกลตึกสูงและมลพิษ เวลากลางคืนท้องฟ้าจะกระจ่างใสจนมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจน ไกด์จะใช้ไฟฉายแบบแรงๆเป็นพอยเตอร์ชี้ไล่ไปตามดาวต่างๆแล้วเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาว พอเคลิ้มๆได้ที่ก็ได้เวลากลับที่พัก

กิจกรรมที่ 2 Sunrise Tour and Base walk
โปรแกรมพาชมหิน Uluru ยามพระอาทิตย์ขึ้น เป็นทัวร์ที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดจะมีรถทัวร์มารับจากที่พักและพาไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น จุดที่ทัวร์พาผมไปตอนปี 2009 ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะอยู่ประชิดติดก้อนหินมากไปจนไม่สามารถเห็นก้อนหินเต็มก้อนด้วยสองตา ไกด์บอกว่าเมืองกำลังสร้างจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ใหม่ที่แจ่มกว่านี้แต่ตอนที่ผมไปยังสร้างไม่เสร็จ ระหว่างที่ปล่อยให้ชมหินค่อยๆเปลี่ยนสีเมื่อรับแสงอาทิตย์ ที่รถก็จะมีเสิร์ฟชากาแฟและบิสกิตให้ทานรองท้อง


หลังจากชมจนพอแล้วทัวร์ก็พาไปเดินเลาะรอบๆหิน Uluru มีบางพื้นที่ไกด์จะแจ้งว่าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปเพราะชาวอะบอริจิ้นถือว่าเป็นพื้นที่ศักสิทธิ์


ชาวอะบอริจิ้นถือว่า Uluru เป็นก้อนหินศักสิทธิ์จึงไม่ปีนก้อนหินและพยายามห้ามนักท่องเที่ยวไม่ให้ปีนเช่นกัน แต่นักท่องเที่ยวหลายคนไม่สนใจ เท่าที่ทราบทางการออสเตรเลียเคยพิจารณาว่าจะออกเป็นกฎหมายห้ามไปเลย ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันกฎหมายบังคับใช้รึยัง

ทัวร์ไม่ได้เดินพาเดินวนจนครบรอบ เพราะจะใช้เวลานานเกินไป พอเดินซักช่วงนึงก็มีรถมารับไปแวะที่ศูนย์วัฒนธรรมชาวอะบอริจิ้นก่อนพากลับที่พัก

กิจกรรมที่ 3 Helicopter Flight
สำหรับผู้มีอันจะกิน การนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมหิน Uluru แบบ Bird eye view ก็ให้ทัศนียภาพที่แปลกใหม่ดี ราคาทัวร์เฮลิคอปเตอร์แล้วแต่ระยะเวลาที่บิน เฮลิคอปเตอร์จะพาบินวนเหนือหิน Uluru รวมทั้งพาบินไปถึงกองหิน Kaja Tjuta ที่อยู่ไกลออกไปด้วย



คำแนะนำสำหรับผู้จะท่องเที่ยว Uluru
  1. เมือง Ayers Rock อยู่กลางทะเลทราย สภาพอากาศจึงร้อนและแห้งแล้ง ผู้ไปเที่ยวควรขยันดื่มน้ำมากๆไม่เช่นนั้นจะเกิดอาการขาดน้ำได้ง่าย
  2. ที่ Ayers Rock มีแมลงวันชุมมาก มักจะมาตอมหน้าตอมแขนให้รำคาญ ควรเตรียมยาทาไล่แมลงไปด้วย ที่พักส่วนใหญ่จะมีสเปรย์ไล่แมลงให้แต่กระป๋องทรงคล้ายๆเชลล์ท็อกซ์จนไม่แน่ใจว่าให้ฉีดพ่นใส่หน้าแขนขาหรือฉีดอากาศกันแน่ อุปกรณ์อีกอย่างที่ขายดีที่นั่นก็คือหมวกมุ้งคลุมหน้า ที่เมื่อใส่หมวกแล้วจะมีผ้าตาข่ายบางๆคลุมบังหน้าไว้ไม่ให้แมลงวันเข้าตอมได้


 

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 จุดชมวิวรอบทะเลสาบซีหู

หนึ่งในทะเลสาบที่ได้รับการยกย่องว่ามีทัศนียภาพสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีนก็คือทะเลสาบซีหู (西湖) ที่เมืองหังโจว มณฑลเจ๋อเจียง ชาวจีนยกย่องความสวยงามดังกล่าวเปรียบเหมือนสวรรค์บนดิน ตั้งแต่อดีตกาลมีผู้ท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนและชื่นชมทัศนียภาพงดงามหลายๆแห่งรายรอบทะเลสาบซีหูจนเป็นที่เล่าขานกันปากต่อปาก กระทั่งเป็นที่รู้จักในนาม 10 จุดชมวิวรอบทะเลสาบซีหู (西湖十景) ชื่อแต่ละจุดเขียนด้วยตัวอักษรจีนสี่ตัว ในสมัยราชวงศ์ชิง ฮ่องเต้เฉียนหลงเสด็จประพาสซีหูก็ได้ทรงอักษรลายพู่กันชื่อของแต่ละจุดชมวิวจารึกลงบนป้ายศิลาซึ่งปัจจุบันก็ตั้งอยู่ตามสถานที่แต่ละจุด


ชื่อซีหูเป็นการออกเสียงในภาษาจีนกลางแปลเป็นไทยว่าทะเลสาบตะวันตก ตัวทะเลสาบมีรูปร่างออกไปทางวงกลมมีเส้นรอบวงประมาณ 15 กิโลเมตร ความลึกเฉลี่ยประมาณสองเมตรกว่า กลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆอยู่สามเกาะ มีถนนเดินเท้าตัดเข้าในตัวทะเลสาบสองสายชื่อว่า Bai Causeway ทางตอนเหนือของทะเลสาบและ Su Causeway ทางฝั่งตะวันตก

ผมเคยไปหังโจวมาสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2002 ตอนนั้นเดินทางไปเองเที่ยวที่หังโจวประมาณสามวัน ครั้งที่สองไปกับกรุ๊ปทัวร์เหยียบจีนเจ็ดเมืองในห้าวันเมื่อปี 2008 ได้แวะที่หังโจวประมาณครึ่งวัน รูปภาพส่วนใหญ่ถ่ายไว้ตั้งแต่ทริปปี 2002 ซึ่งใช้กล้องฟิล์มป๊อกแป๊ก รูปที่ถ่ายไว้ตอนนั้นสีจึงเริ่มออกเขรอะๆซัวๆไปตามกาลเวลา

เอาละ....ได้เวลามาทำความรู้จัก 10 จุดชมวิวรอบทะเลสาบซีหูทีละจุดกันแล้ว

จุดที่ 1: Three Pools Mirroring the Moon (三潭印月)

ผมเคยอ่านนวนิยายกำลังภายในจีนเล่มหนึ่งที่แปลชื่อจุดชมวิว Three Pools Mirroring the Moon ของซีหูเป็นภาษาไทยว่า สามบึงพิมพ์จันทร์ จุดชมวิวนี้จะเป็นสถูปตะเกียงศิลาสามอันตั้งอยู่กลางทะเลสาบซีหู ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงก็จะจุดตะเกียงดังกล่าวซึ่งแสงไฟจากตะเกียงทั้งสามดวงจะสะท้อนลงบนผิวน้ำดูเหมือนมีพระจันทร์เพิ่มขึ้นอีกสามดวง
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: ต้องคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ถึงจะเห็นภาพสามบึงพิมพ์จันทร์

จุดที่ 2: Spring Dawn by Su Causeway (蘇堤春曉)

Su Causeway เป็นถนนเดินเท้าที่ตัดผ่านด้านในทะเลสาบฝั่งตะวันตก ตั้งชื่อตามท่านซูตงปอที่เคยเป็นผู้ว่าหังโจวสมัยช่วงราชวงศ์ซ่งและเป็นผู้สร้างทางเดินเท้านี้ ถนนซูนี้ยาวร่วมๆ 5-6 กิโลเมตรมีสะพานหกสะพาน
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: ตามชื่อจุดชมวิวก็คือช่วงรุ่งอรุณในฤดูใบไม้ผลิ แต่ผมว่าถ้าไม่เน้นอารมณ์ศิลปินมากเวลาไหนฤดูไหนก็น่าจะได้

จุดที่ 3: Autumn Moon on Calm Lake (平湖秋月)


จุดชมวิวนี้อยู่ที่ Bai Causeway ทางทิศเหนือของทะเลสาบ ตามรูปภาพโปรโมทที่ผมเคยเห็นจะเป็นมุมเดียวกับที่ผมถ่ายแต่เป็นเวลากลางคืนที่มีเงาพระจันทร์เต็มดวงสะท้อนลงบนผิวน้ำที่ราบเรียบราวกระจก
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: คืนวันไหว้พระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเชื่อว่าเป็นคืนที่พระจันทร์สวยที่สุด

จุดที่ 4: Lotus Breeze at Crooked Courtyard (曲院風荷)

จุดชมวิวนี้เป็นสวนชื่อว่า Qu Yuan รูปภาพโปรโมทก็จะเหมือนรูปของผมแต่จินตการเอาหน่อยว่ามีดอกบัวเต็มพรึ่บบริเวณแอ่งน้ำ แต่ตอนผมไปเดือนเมษายนฤดูใบไม้ผลิดอกบัวยังไม่บาน
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: ควรมาในฤดูร้อนเพราะเป็นช่วงเวลาที่บัวสะพรั่งที่สุด ถ้ามาฤดูอื่นอาจเห็นแต่ตอบัวกุดๆ

จุดที่ 5: Melting Snow on the Broken Bridge (斷橋殘雪)

สะพานนี้อยู่ที่ Bai Causeway ในนิยายพื้นบ้านเรื่องนางพญางูขาว พระเอกเจอรักแรกพบกับนางเอกนางพญางูขาวที่สะพานแห่งนี้ ภาพโปรโมทชวนฝันก็จะมีหิมะเกาะที่สะพาน
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: โดยหลักการจะต้องเป็นหน้าหนาวที่มีหิมะตก แต่คงเป็นไปได้ยากเพราะปัจจุบันเมืองหังโจวเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องรถราเต็มท้องถนน โอกาสจะมีหิมะตกยากมาก

จุดที่ 6: Viewing Fish at Flower Garden (花港觀魚)

จุดชมวิวนี้อยู่ที่สวนสาธารณะทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบ ในสวนตกแต่งไปด้วยต้นไม้ดอกไม้และมีแอ่งน้ำเลี้ยงปลาจำนวนมาก
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: เนื่องจากเป็นสวนดอกไม้ก็ควรจะมาในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน

จุดที่ 7: Orioles Singing in the Willows (柳浪聞鶯)

รอบๆซีหูจะปลูกต้นหลิวเรียงรายรอบทะเลสาบ (ฝรั่งเรียกต้นหลิวว่า willow) ซึ่งในต้นหลิวรอบทะเลสาบนี้จะมีนกชนิดหนึ่งนิยมมาเกาะ ตามชื่อ orioles เปิดดิกชั่นนารีแปลว่านกขมิ้น แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่นกขมิ้นจริงๆรึเปล่า เพราะผมเองก็ไม่เชี่ยวชาญปักษีวิทยาเท่าใดนัก เจ้านก orioles นี้จะส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วไพเราะเสนาะหู จริงๆแล้วจุดนี้น่าจะเรียกว่าเป็นทัศนียเสียงมากกว่าทัศนียภาพ 
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: เวลาไหนก็ได้แล้วแต่สะดวก ปัจจุบันนี้เนื่องจากสภาพเมืองหังโจวที่พัฒนาขึ้นจำนวนนกก็คงลดน้อยลง แต่ชาวเมืองหัวใสก็ทำของที่ระลึกออกขายเป็นนกหวีดเลียนเสียงเจ้านก orioles นี้ เวลาเดินชมวิวรอบๆทะเลสายจะได้ยินพ่อค้าขายของที่ระลึกเป่านกหวีด orioles เสียงระงมไปหมด

จุดที่ 8: Sunset Grow over Leifeng Pagoda (雷峰夕照)

เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่กล่าวถึงในนิยายนางพญางูขาว ตามท้องเรื่องนักบวชฝาไห่จอมขมังเวทย์จับนางพญางูขาวมาขังไว้ที่เจดีย์ Leifeng นี้ เจดีย์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เจดีย์ดั้งเดิมพังไปในช่วงศตวรรษที่ 90 ในปี 2002 ทางการเมืองหังโจวจึงสร้างเจดีย์ขึ้นมาใหม่ ตอนไปปี 2002 ผมยังไม่เห็นน่าจะยังสร้างไม่เสร็จ มาเห็นก็ตอนปี 2008
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: ยามค่ำย่ำสนธยา

จุดที่ 9: Evening Bell at Nanping Hill (南屏晚鐘)

อีกหนึ่งทัศนียเสียงริมทะเลสาบซีหู ที่เนินเขา Nanping ทางทิศใต้จะมีวัดชื่อว่า Jingci ยามอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าทางวัดก็จะตีระฆังดังเหง่งหง่าง ด้วยอารมณ์สุนทรีแบบกวีก็ต้องกล่าวว่าการชมอาทิตย์อัสดงเคล้าเสียงระฆังดังก้องกังวาลช่างน่าจับใจเสียนี่กระไร
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: ยามเย็น เวลาตีระฆังที่แน่นอนต้องลองถามพระที่วัดดู

จุดที่ 10: Twin Peaks Piercing the Clouds (雙峰插雲)
เป็นจุดชมวิวที่เดียวที่ผมหาไม่เจอ ถึงแม้ไปตามแผนที่แล้วก็ตาม ตามคำเล่าขานทางทิศเหนือของซีหูจะมีเนินเขาสูงอยู่ที่สองลูก ลูกหนึ่งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนืออีกลูกอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เดาว่าน่าจะเป็นจุดชมวิวที่ต้องแลไกลๆ เช่น จากฝั่งทิศใต้ของทะเลสาบ
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมทัศนียภาพ: จินตการว่าน่าจะเป็นยามเช้าที่มีหมอกจางๆ แต่สำคัญที่ต้องหาให้เจอเสียก่อน

10 จุดชมวิวที่กล่าวไปนี้ปัจจุบันอาจจะไม่คลาสสิกเท่าสมัยก่อนเนื่องจากสภาพแวดล้อมเมืองที่เปลี่ยนไปด้วยสภาพตึกรามบ้านช่องและมลพิษ ในปี 1984 ทางการเมืองหังโจวจึงจัดให้ชาวเมืองร่วมกันโหวตหา 10 จุดชมวิวใหม่รอบทะเลสาบซีหู เพื่อสร้างจุดดึงดูดการท่องเที่ยว จุดชมวิวรุ่นใหม่ส่วนมากอยู่กระเส็นกระสายกระจัดกระจายไกลจากทะเลสาบออกไป

การเดินทางไปเที่ยวหังโจวกับกรุ๊ปทัวร์ส่วนมากจะจัดให้นั่งเรือล่องทะเลสาบซีหู ซึ่งจะเห็น Three pools Mirroring the Moon กับ Spring Dawn by Su Causeway ที่สังเกตุเห็นได้ง่าย ส่วนจุดอื่นๆถ้าจะเห็นก็คงไกลๆที่ต้องคอยจ้องสังเกตุเอาเอง

การเดินทางท่องเที่ยวเองรอบๆทะเลสาบสามารถเดินเอาได้ (15 กิโลเอ๊ง)  ตอนปี 2002 ที่ไปเที่ยวผมเดินเที่ยวตามเก็บถ่ายรูปรอบซีหูรวมสามวันนับได้ราวๆสามรอบ แต่ถ้าไม่อยากเมื่อยใช้บริการแท็กซี่ก็ได้ วนรอบทะเลสาบไม่ค่อยไกลค่าโดยสารจึงไม่ค่อยแพง


 

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เทศกาล Venice Carnival

งานเทศกาล Venice Carnival เป็นเทศกาลประจำปีของชาวเมืองเวนิซ เทศกาลจะกินเวลาประมาณ 10 วันโดยจะสิ้นสุดก่อนวันพุธรับเถ้า (First day of Lent) ซึ่งเป็นเวลา 40 วันก่อนถึงเทศกาลอีสเตอร์ของชาวคริสต์ ดังนั้นเทศกาล Carnival ในแต่ละปีจึงกำหนดวันจัดงานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวันอีสเตอร์ในแต่ละปี แต่ส่วนใหญ่เทศกาล Carnival จะอยู่ระหว่างช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคม

หัวใจของงานเทศกาลก็คือการเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนาน ชาวเมืองจะลุกมาแต่งกายด้วยอาภรณ์เฉิดฉายสวมหน้ากากออกมาตามท้องถนนหาความสำราญ ดื่มกิน เต้นรำ เม้ามอย อยากทำอะไรบ้าบอก็ทำได้เต็มที่



ส่วนใหญ่จะแต่งในแนวแฟนตาซีเลิศหรูอลังการ ขนพร็อพประดับประดาเต็มสูบ ไม่ว่าจะเป็น พัด ตุ๊กตา กระจก ร่ม แล้วแต่จะสรรหา



บางคนจะแต่งออกมาเน้นแนวเอาฮาเข้าว่า





แต่แนวน่ารักๆ ดูแล้วสบายสายตา(ผู้ชาย)ก็มี



นักท่องเที่ยวก็ไม่พลาดโอกาศที่จะประกวดประชันชุดประจำชาติกัน




อันนี้ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยส่งเข้าประกวดรึเปล่า


จุดที่ชาวหน้ากากนิยมจะมารวมตัวกันก็คือบริเวณจตุรัส San Marco ใครชอบถ่ายรูปพอร์ตเทรทต้องเตรียม memory card ไปเยอะๆเลย เรียกว่ามีนายแบบนางแบบให้กดชัตเตอร์ถ่ายมือเป็นระวิงเลย


การแต่งกายในเทศกาล Carnival แบบดั้งเดิมจะสวมหน้ากากแบบที่เรียกว่า Bauta สวมหมวกปีกพับสามเหลี่ยมที่เรียกว่า tricon hat และผ้าคลุมสีดำคลุมลำตัวมิด เจ้าหน้ากากทรงนี้มีข้อดีคือมีช่องว่างใต้หน้ากากให้สามารถดื่มน้ำกินข้าวได้สะดวกไม่ต้องถอดเข้าถอดออก



นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่มาของเจ้าหน้ากากนกที่นิยมสวมใส่ในเทศกาล ในอดีตช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด หมอที่ออกไปรักษาผู้ป่วยจะสวมหน้ากากนก ตรงจะงอยจมูกของหน้ากากนกจะยัดถุงสมุนไพรเอาไว้เพื่อป้องการติดเชื้อทางการหายใจ


ในการเฉลิมฉลองเทศกาล จะมีขนมพิเศษสองชนิดที่ถือว่าเป็นขนมประจำเทศกาล อันแรกมีชื่อว่า Frittelle หรือโดนัททอด (รสชาติก็ประมาณนั้นเลย)


ส่วนขนมอีกประเภทชื่อว่า Galani เป็นแป้งผสมน้ำตาลทอดกรอบแบบตีโป่งโรยด้วยไอซ์ซิ่ง


สำหรับปี 2013 นี้ งานเทศกาล Venice Carnival จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 2-12 กุมภาพันธ์ ถ้าสนใจอยากเข้าร่วมงานควรรีบจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมแต่เนิ่นๆ เพราะโรงแรมในเวนิซค่อนข้างจะเต็มเอี๊ยดในช่วงเทศกาล

สนใจรายละเอียดสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่





About