วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตามรอยสุสานโบราณที่คยองจู

เล่าเรื่องการเดินทางมาจะครบสิบเรื่องแล้ว ยังไม่ได้เชียนเรื่องราวเกี่ยวกับเกาหลีเลย ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ยกระดับการส่งเสริมการท่องเที่ยวจนเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ถ้าไม่มีเรื่องราวการเดินทางที่เกาหลีมาเล่าคงเชยตกเทรนด์น่าดู แต่ตั้งใจว่าถ้าจะเขียนเรื่องเกาหลีใต้ครั้งแรกจะฉีกแนวตลาด

ทัวร์ยอดนิยมเกาหลีก็คือการตามรอยซีรี่ย์รักโรแมนติก วันนี้ผมจะขอตามรอยละครเกาหลีกับเค้าบ้าง แต่เป็นการตามรอยสุสานฝังศพของตัวละครในซีรี่ย์ ให้บรรยากาศแปลกไปอีกแบบ


หนึ่งในซีรี่ย์เกาหลีที่ผมดูตั้งแต่ต้นจนจบก็คือ ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน เรื่องราวประวัติศาสตร์เกาหลีในยุคยังแบ่งแยกเป็นสามอาณาจักร ได้แก่ โกกูรยอ ชิลลา และแพ็กเจ ละครเล่าเรื่องราวการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองและปณิธานการรวมสามอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียว

ราชินีซอนต๊อกปกครองอาณาจักรชิลลาซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองคยองจู (경주시) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี คยองจูเป็นราชธานีโบราณที่อุดมไปด้วยโบราณสถานสำคัญผุดขึ้นทั่วเมือง จนได้รับการขนานนามว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ไร้กำแพง


เมืองคยองจูไม่ค่อยมีตึกสูง ใจกลางเมืองยังมีทุ่งนาตามสองข้างทาง อารมณ์ประมาณเหมือนเที่ยวจังหวัดอยุธยาหรือสุโขทัยบ้านเรา เราจะมาตามรอยสุสานโบราณของซีรีย์ราชินีซอนต๊อกกันที่นี่เอง


สุสานฝังศพของชิลลาเป็นเนินดินพูนครึ่งทรงกลม ดูคล้ายฮวงซุ้ยของจีนอยู่บ้าง ที่เมืองคยองจูมีสุสานของกษัตริย์และบุคคลสำคัญชิลลาเต็มเมืองไปหมด


เริ่มจากนางเอกของเรื่องคือราชินีซอนต๊อก ซึ่งปกครองชิลลาในช่วงปีค.ศ. 632-647 (600 ปีก่อนไทยสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี) สุสานหลวงของพระนางซอนต๊อก (경주 선덕여왕릉) เหมือนถูกปล่อยทิ้งกลางป่ากลางเขา บริเวณรอบๆไม่มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ


ระหว่างทางมีป้ายบอกทางเป็นระยะ แรกๆเริ่มจากทางเดินปูน พอลึกๆเข้าไปหน่อยเป็นทางดินทำเอาชักไม่แน่ใจว่ามาถูกทาง เปิดให้ชมฟรีคงเพราะไม่คิดว่าจะมีคนสนใจบุกป่าฝ่าดงเข้าไปชม


ใกล้ๆกับสุสานหลวงพระนางซอนต๊อกก็มีสุสานหลวงพระเจ้าจินพยองซึ่งเป็นพระบิดาและพระราชาที่ครองราชย์ก่อนพระนางซอนต๊อก แต่สุสานอยู่ในป่าลึกเข้าไปอีกแถมป้ายบอกทางคลุมเครือจึงไม่กล้าเดินเข้าไปเพราะกลัวหลง

จากนางเอกก็มาต่อกันด้วยพระเอกของเรื่องก็คือแม่ทัพคิมยูซินซึ่งเป็นกำลังสำคัญของชิลลาในการรวมสามอาณาจักร สุสานของแม่ทัพคิมยูซิน (경주 김유신묘) กลับดูคนละอารมณ์กับสุสานพระนางซอนต๊อกเลย มีการปรับปรุงพื้นที่อาณาบริเวณปลูกต้นไม้ตกแต่งสวยงาม แถมต้องเสียตังค์เข้าชมด้วย


ตัวละครที่มีสีสรรมากที่สุดในซีรี่ย์และถือว่าเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของพระนางซอนต๊อกก็คือพระสนมมีซิล ซึ่งมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าสุสานของนางอยู่ที่ใด บางกระแสลือว่าสุสานของพระสนมมีซิลอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

อีกตัวละครที่มีบทสำคัญในซีรี่ย์ ก็คือคิมชุนชูซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของพระนางซอนต๊อก ต่อมาภายหลังขึ้นครองราชย์ในนามพระเจ้ามูยอล ในยุคสมัยพระราชามูยอล ชิลลาสามารถรบชนะและผนวกรวมอาณาจักรแพ็กเจเข้ามา สุสานหลวงพระเจ้ามูยอล (경주 무열왕릉-태종무열왕릉비) อยู่ในละแวกใจกลางเมืองได้รับการทำนุบำรุงดีเช่นเดียวกับสุสานคิมยูซิน


ในอาณาบริเวณเดียวกับสุสานหลวงพระเจ้ามูยอล มีสุสานเนินดินติดกัน 4 ลูก เชื่อกันว่าสุสานเนินดินที่ 2 และ 3 เป็นสุสานหลวงของพระเจ้าจินฮึงและพระเจ้าจินจิ พระเจ้าจินฮึงเป็นพระราชาชิลลาที่ปรากฏในตอนแรกของซีรีย์ หลังจากพระเจ้าจินฮึงประชวรจนสวรรคต พระสนมมีซิลปลอมพระบรมราชโองการแต่งตั้งพระเจ้าจินจิโอรสคนรองของพระเจ้าจินฮึงขึ้นครองราชย์ และต่อมาพระเจ้าจินจิก็ถูกมีซิลบีบให้สละราชสมบัติให้แก่พระเจ้าจินพยองซึ่งโอรสของพระเชษฐาพระเจ้าจินจิ


ตบท้ายด้วยพระราชาชิลลาอีกพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับการรวมสามอาณาจักรแต่ไม่ได้ปรากฏบทในละครซีรี่ย์ นั่นคือพระเจ้ามุนมูซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้ามูยอล แต่ที่ต้องกล่าวถึงเพราะเป็นรัชสมัยที่ชิลลาสามารถเอาชนะโกกูรยอได้จนในที่สุดรวมสามอาณาจักรเข้าด้วยกันเบ็ดเสร็จ

สุสานหลวงของพระเจ้ามุนมู (경주 문무대왕릉) ต่างจากสุสานชิลลาทั่วไป แทนที่จะเป็นสุสานเนินดิน กลับเป็นสุสานใต้น้ำ พระเจ้ามุนมูดำริให้ฝังพระองค์ไว้ใต้น้ำ เพื่อพระองค์จะกลายร่างเป็นมังกรปกป้องชิลลา


ตัวสุสานอยู่กลางทะเลแต่ไม่ห่างจากชายหาดมากนักมีกองหินพูนไว้เป็นสัญลักษณ์ สุสานหลวงพระเจ้ามุนมูไม่ได้อยู่ในตัวเมืองคยองจู ต้องนั่งรถบัสออกไป


การเดินทางท่องเที่ยวสุสานต่างๆ
สุสานหลวงพระนางซอนต๊อก สุสานแม่ทัพคิมยูซินและสุสานหลวงพระเจ้ามูยอลอยู่ในเขตตัวเมือง มีรถบัสวิ่งบริการในเมืองจะต้องตรวจสอบสายและเส้นทางให้ดี แต่แนะนำให้นั่งแท็กซี่สะดวกกว่า


สุสานหลวงพระเจ้ามุนมูอยู่ติดทะเลฝั่งตะวันออก ต้องนั่งรถบัสสาย 150 จากท่ารถ Gyeongju Intercity Bus Terminal ในเมืองใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ถ้าไม่แน่ใจป้ายที่ต้องลง ให้สังเกตุกองหินกลางทะเลทางฝั่งซ้ายมือของรถ





วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นิราศ@โรแมนติก: สะดุดเลิฟ...ที่เมืองเวโรน่า

เพิ่งผ่านพ้นเทศกาลแห่งความรักวาเลนไทน์มาหมาดๆ แน่นอนว่าบทความผมก็ยังคงไม่ยอมตกเทรนด์ที่จะกล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอแห่งความรัก ขอพากลับไปที่อิตาลีอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เราจะแวะกันที่เมืองเวโรน่า (Verona)


นครเวโรน่ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันจากบทประพันธ์นิยายรักอมตะโรมิโอและจูเลียตของกวีชาวอังกฤษวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ในนิยายกล่าวถึงความรักของหนุ่มสาวชาวเวโรน่าที่มาจากครอบครัวตระกูลมอนตะคิวและคาปูเล็ตที่เป็นศัตรูกัน เชื่อกันว่าเชคสเปียร์เขียนขึ้นมาจากเค้าโครงเรื่องจริงของสองตระกูลในเมืองเวโรน่า


สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับหนึ่งของเมืองเวโรน่าก็คือบ้านที่เชื่อว่าเป็นของตระกูลฝ่ายหญิงจึงเรียกว่าบ้านจูเลียต (Casa di Giulietta)

จุดเด่นของบ้านจูเลียตก็คือระเบียงที่เป็นฉากสำคัญในนิยายโรมิโอจูเลียต


มุมนี้เรียกว่า Juliet-eye view เมื่อมองลงมาจากระเบียง


โอ้ โรมิโอ โรมิโอๆ ไยท่านเป็นโรมิโอ”*

บรรยากาศภายในบ้านจูเลียต


ในบริเวณสวน มีรูปปั้นบรอนซ์ของจูเลียตขนาดเท่าคนจริง


ว่ากันว่าใครก็ตามที่จับหน้าอกซ้ายของรูปปั้นพร้อมอธิษฐานขอความรักจะสมหวัง จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นนักท่องเที่ยวเข้าคิวกันลูบหน้าอกรูปปั้นจนมันแผล่บ


ด้วยปีกของรักหอบข้าข้ามกำแพงมา โค้งศิลาหากั้นรักได้ไม่”*


ในอดีตมีชาวเมืองหรือนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนบ้านจูเลียตเพื่อเขียนจดหมายขอคำปรึกษาเรื่องความรักกับจูเลียตแล้วนำไปแปะไว้ตามกำแพงบ้าน เรื่องราวนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์ฮอลลีวู้ดฉายในปี 2010 เรื่อง Letters to Juliet ชื่อภาษาไทยว่า สะดุดเลิฟ...ที่เมืองรัก


สงสัยว่าหลังจากหนังออกฉายคงมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกแห่มาเขียนจดหมายถึงจูเลียตปะตามกำแพงมากขึ้น จนปัจจุบันทางการเวโรน่าจึงประกาศห้ามติดจดหมายไว้ตามกำแพงบ้านอีกต่อไป


ถ้าอยากจะส่งจดหมายถึงจูเลียตก็ให้ใส่ไว้ในตู้ไปรษณีย์ภายในบ้าน


ในเมื่อนี่มันโลกทศวรรษที่ 20 แล้ว เราย่อมสามารถเขียนอีเมลหาจูเลียตได้ (ไม่รู้ว่ามี facebook กับ twitter รึเปล่า)


ข้าขอสาบานรักต่อจันทรา
อย่าได้สาบานแบบนั้น จันทราบ่เที่ยงตรง ทุกเดือนจันทราย้ายวงโคจรดังเช่นรักท่านอาจโลเล”*

อารมณ์ตรงกันข้ามกับบ้านจูเลียต บ้านที่เชื่อว่าเป็นของตระกูลโรมิโอกลับไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว


ไม่ใช่แค่ตึกรามบ้านช่องเท่านั้นที่เกี่ยวพันกับโรมืโอจูเลียต แม้แต่ขนมหวานชื่อดังประจำเมืองเวโรน่าก็ตั้งชื่อว่า Baci di Giulietta แปลเป็นไทยว่าจุมพิตของจูเลียต (สีน้ำตาล) แถมยังมีขนมที่หน้าตาเหมือนกันแต่เป็นสีขาวชื่อว่า Baci di Romeo หรือจุมพิตของโรมิโอนั่นเอง


ตระเวณดูตามร้านขายของฝาก ของที่ระลึกที่พบเห็นบ่อยที่สุดก็คือผ้ากันเปื้อนคู่รัก


จริงๆแล้วสเน่ห์ของเวโรน่าไม่ใช่แค่มาจากกระแสนิยายโรมิโอจูเลียต บรรยากาศในตัวเมืองก็แสนโรแมนติกโดยเฉพาะริมแม่น้ำ Adige เหมาะแก่การเดินควงแขนกันมากที่สุด


การเดินทางไปบ้านจูเลียต
บ้านจูเลียตอยู่ในเขตเมืองเก่าของเวโรน่า สามารถเดินจาก Porta Nuova สถานีรถไฟหลักของเมืองได้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที

ข้าขอลา รักดุจดอกไม้แย้มบานในคิมหันต์ จะเบิกบานขึ้นคราหน้าที่เราเจอกัน ลาก่อน ลาก่อน”*

* จากบทประพันธ์"โรมิโอและจูเลียต"ของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์






วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซานไห่กวน: ดินแดนกำแพงเมืองจีนจรดทะเล

ใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้วก็เลยขอวนกลับมาเขียนเรื่องจีนๆอีกครั้ง วันนี้ขอพาไปสถานที่ท่องเที่ยวที่ซ่อนเร้นตัวจากบรรดาทัวร์จีนยอดนิยมทั้งหลายอย่างเมืองซานไห่กวน (山海關) ในมณฑลเหอเป่ยทางทิศตะวันออกของปักกิ่ง ชื่อซานไห่กวนเป็นการออกเสียงตามภาษาจีนกลางแปลตรงตัวว่าประตูภูเขาและทะเล เนื่องจากในอดีตเป็นเมืองหน้าด่านซึ่งมีภูมิประเทศติดทั้งภูเขาและทะเล 


ซานไห่กวนเป็นเหมือนสาวชาวป่าชาวเขาขี้อายที่ไม่ค่อยปรากฏโฉมบนโปรแกรมทัวร์จีนซักเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วแอบซ่อนรูปอยู่ ของดีของเมืองซานไห่กวนที่ชวนให้มาตามหาก็คือประวัติศาสตร์และทิวทัศน์กำแพงเมืองจีนจรดทะเลที่หาดูที่อื่นไม่ได้


ซานไห่กวนปรากฏความสำคัญในหน้าบันทึกพงศาวดารจีนครั้งหนึ่งในช่วงปลายราชวงศ์หมิง เรียกว่าเป็นจุดพลิกผันประวัติศาสตร์สำคัญครั้งหนึ่งของประเทศจีนเลยทีเดียว ในรัชสมัยฮ่องเต้ชงเจิง จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงทรงไม่ใส่ใจบริหารราชกิจ เอาแต่แสวงหาความสุขสำราญ จนปล่อยปละละเลยให้ขุนนางกังฉินฉ้อราษฏร์บังหลวงรีดนาทาเร้นกดขี่ประชาชน ทำให้ชาวบ้านลุกฮือขึ้นรวมตัวกันก่อกบฎภายใต้การนำของหัวหน้าชื่อหลี่จื้อเฉิง จนในที่สุดหลี่จื้อเฉิงสามารถนำกองกำลังบุกเข้าไปถึงเมืองหลวงนครปักกี่งได้สำเร็จ ฮ่องเต้ชงเจิงทรงอัตวินิบาตกรรมเป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์หมิง


หลังจากหลี่จื้อเฉิงได้ชัยชนะ แม่ทัพนายกองต่างก็ทยอยเข้าสวามิภักดิ์ด้วย อู๋ซันกุ้ยเป็นแม่ทัพเฝ้าด่านซันไห่กวนซึ่งเป็นหน้าด่านชายแดนติดกับแมนจูก็คิดจะยอมสวามิภักดิ์ในตอนแรก แต่ด้วยเหตุความขัดแย้งบางประการทำให้อู๋ซันกุ้ยเปลี่ยนใจหันไปสวามิภักดิ์กับแมนจูซี่งถือว่าเป็นศัตรูต่างชาติในสมัยนั้นแทน โดยยอมเปิดประตูด่านให้กองทัพแมนจูเคลื่อนพลเข้ายึดเมืองหลวง ฝ่ายกองกำลังหลี่จื้อเฉิงหลังจากได้รับชัยชนะก็มัวแต่เฉลิมฉลองอย่างเมามันเลยถูกทัพแมนจูตีแตกพ่ายในที่สุด ชาวแมนจูจึงเข้าปกครองแผ่นดินจีนและสถาปนาราชวงศ์ชิงตั้งแต่นั้นมา ฝ่ายอู๋ซันกุ้ยได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นอ๋องปกครองมณฑลยูนนานทางใต้ท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งว่าทรยศขายชาติ

การเดินทางไปที่เมืองซานไห่กวน
รถไฟไฮสปีดจากปักกิ่งไปถึงซานไห่กวนใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเป็นรถไฟที่ช้าหน่อยก็ใช้เวลาตั้งแต่สามชัวโมงครึ่งขึ้นไป 


สถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของซานไห่กวนแห่งแรกชื่อว่า First Pass under Heaven (天下第一) ประตูด่านหลักของกำแพงเมืองจีนส่วนซานไห่กวน

ทิวทัศน์เมืองซานไห่กวนจากบนกำแพงเมืองจีนด่าน First Pass Under Heaven

การเดินทางไปที่ First Pass under Heaven จากสถานีรถไฟซานไห่กวนสามารถเดินไปได้ ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งก็คือ Old Dragon’s Head (龙头) เป็นจุดที่กำแพงเมืองจีนจรดทะเล ถือว่าเป็นปลายฝั่งตะวันออกสุดของกำแพงที่ยาวนับหมื่นลี้

ข้างๆจุดกำแพงเมืองจีนจรดทะเลมีวัดยื่นเข้าไปในทะเล (อารมณ์ประมาณวิลล่ามัลดีฟส์)
 

ตัวกำแพงเดิมพังไปในช่วงปีค.ศ. 1900 แต่ถูกสร้างใหม่ในปี 1984 ทำให้กำแพงเมืองจีนส่วนนี้ดูเอี่ยมอ่องไปหน่อย 


การเดินทางไปที่ Old Dragon’s Head แนะนำให้นั่งแท็กชี่ไป ประมาณ 20 นาที แต่เนื่องจากซานไห่กวนไม่ใช่เมืองใหญ่ แท็กซี่ยังไม่ติดมิเตอร์ ต้องเตรียมรับมือกับเล่ห์เหลี่ยมแท็กซี่กันหน่อย


ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ครับ




วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Cuddly Dominion: สวนสัตว์ขำกลิ้งลิงกับหมา

เมื่อหลายปีก่อน เคยมีรายการโทรทัศน์ของญี่ปุ่นรายการหนึ่งเข้ามาฉายทางช่องฟรีทีวีประเทศไทยใช้ชื่อไทยว่า ขำกลิ้งลิงกับหมาเป็นรายการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น รูปแบบรายการเป็นวาไรตี้แสดงความน่ารักแสนรู้ของสัตว์คู่หูระหว่างลิงชิมแปนซีชื่อว่าปังคุงกับสุนัขบูลด็อกชื่อเจมส์ ในแต่ละตอนครูฝึกชื่อคุณมิยาซาวะจะมอบหมายภารกิจให้คู่หูจอมป่วนไปทำร่วมกัน เช่น ซื้อของ เก็บเห็ด เป็นต้น

 ถึงแม้รายการจบไปนานแล้ว ปัจจุบันนี้เจมส์กับปังคุงรวมทั้งคุณมิยาซาวะยังคงเปิดการแสดงอยู่ที่สวนสัตว์แห่งหนึ่งชื่อว่า Cuddly Dominion (カドリー・ドミニオン) ที่เมืองอะโสะบนเกาะคิวชูประเทศญี่ปุ่น


สวนสัตว์ Cuddly Dominion เป็นสวนสัตว์ขนาดกะทัดรัดพอเหมาะพอควรกับเมืองอะโสะที่ไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็มีสัตว์มากถึง 90 กว่าสายพันธ์ โดยสัตว์ที่มีจำนวนมากที่สุดในสวนสัตว์นี้คือหมี


ไฮไลท์เด็ดของสวนสัตว์ก็คือโรงละครจัดแสดงโชว์ของเจมส์และปังคุงรวมถึงผองเพื่อนสัตว์แสนรู้อื่นๆ ภายใต้การดูแลของคุณมิยาซาวะ วันหนึ่งๆจะมีโชว์ประมาณ 2-3 รอบ ถึงแม้จะฟังบทสนทนาภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ความน่ารักของเหล่าสัตว์ก็ทำให้สนุกเพลิดเพลินจริงๆ


ในโรงละครไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปก็เลยไม่มีรูปมาฝาก หลังจบการแสดงก็อนุญาตให้ถ่ายรูปร่วมกับดารานำอย่างคุณมิยาซาวะ เจมส์กับปังคุงได้แต่ต้องเสียตังค์ (ซึ่งผมก็ขอบาย)

ภายในสวนสัตว์มีการตกแต่งทัศนียภาพให้สวยงาม เหมาะสำหรับถ่ายรูปได้


 มีร้านขายเบอร์เกอร์ของปังคุง เมนูแนะนำคือเจมส์เบอร์เกอร์ อย่าเข้าใจผิดไม่ได้ทำจากเนื้อเจมส์หรือเพื่อนๆเจมส์แต่อย่างใด


แน่นอนที่สุด ของที่ระลึกของสวนสัตว์นี้ก็ต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับเจมส์และปังคุง


การเดินทางไปเที่ยวสวนสัตว์ Cuddly Dominion
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเลือกพักที่เมืองคุมาโมโตะแล้วมาเที่ยว day trip ที่เมืองอะโสะ รถไฟจากคุมาโมโตะมาถึงอะโสะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
จากสถานีรถไฟอะโสะ นั่งแท็กซี่ไปที่สวนสัตว์ใช้เวลาประมาณสามนาที ระหว่างนั่งไปให้สังเกตุและจดจำเส้นทางด้วย เพื่อขากลับสามารถเดินกลับมาที่สถานีรถไฟได้ ประหยัดค่าแท็กซี่ไปเปลาะหนึ่ง

สนใจรายละเอียดของสวนสัตว์ Cuddly Dominion เข้าไปดูได้ที่
(เป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวนะ)



About